วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

การแต่งกายของภาคอีสาน


การแต่งกายของภาคอีสาน



การแต่งกายประจำภาคอีสาน

การแต่งกายประจำภาคอีสาน

ลักษณะการแต่งกาย
ผู้ชาย ส่วนใหญ่นิยมสวมเสื้อแขนสั้นสีเข้มๆ ที่เราเรียกว่า "ม่อห่อม" สวมกางเกงสีเดียวกับเสื้อจรดเข่า นิยมใช้ผ้าคาดเอวด้วยผ้าขาวม้า
ผู้หญิง การแต่งกายส่วนใหญ่นิยมสวมใส่ผ้าซิ่นแบบทอทั้งตัว สวมเสื้อคอเปิดเล่นสีสัน ห่มผ้าสไบเฉียง สวมเครื่องประดับตามข้อมือ ข้อเท้าและคอ

ผ้าพื้นเมืองอีสาน
ชาวอีสานถือว่าการทอผ้าเป็นกิจกรรมยามว่างหลังจากฤดูการทำนาหรือว่างจากงานประจำอื่นๆ ใต้ถุนบ้านแต่ละบ้านจะกางหูกทอผ้ากันแทบทุกครัวเรือน โดยผู้หญิงในวัยต่างๆ จะสืบทอดกันมาผ่านการจดจำและปฏิบัติจากวัยเด็ก ทั้งลวดลายสีสัน การย้อมและการทอ ผ้าที่ทอด้วยมือจะนำไปใช้ตัดเย็บทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม หมอน ที่นอน ผ้าห่ม และการทอผ้ายังเป็นการเตรียมผ้าสำหรับการออกเรือนสำหรับหญิงวัยสาว ทั้งการเตรียมสำหรับตนเองและเจ้าบ่าว ทั้งยังเป็นการวัดถึงความเป็นกุลสตรี เป็นแม่เหย้าแม่เรือนของหญิงชาวอีสานอีกด้วย ผ้าที่ทอขึ้นจำแนกออกเป็น 2ชนิด คือ
1. ผ้าทอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน จะเป็นผ้าพื้นไม่มีลวดลาย เพราะต้องการความทนทานจึงทอด้วยฝ้ายย้อมสีตามต้องการ
2. ผ้าทอสำหรับโอกาสพิเศษ เช่น ใช้ในงานบุญประเพณีต่างๆ งานแต่งงาน งานฟ้อนรำ ผ้าที่ทอจึงมักมีลวดลายที่สวยงามวิจิตรพิสดาร มีหลากหลายสีสัน
ประเพณีที่คู่กันมากับการทอผ้าคือการลงข่วง โดยบรรดาสาวๆ ในหมู่บ้านจะพากันมารวมกลุ่มก่อกองไฟ บ้างก็สาวไหม บ้างก็ปั่นฝ้าย กรอฝ้าย ฝ่ายชายก็ถือโอกาสมาเกี้ยวพาราสีและนั่งคุยเป็นเพื่อน บางครั้งก็มีการนำดนตรีพื้นบ้านอย่างพิณ แคน โหวต มาบรรเลงจ่ายผญาโต้ตอบกัน
เนื่องจากอีสานมีชนอยู่หลายกลุ่มวัฒนธรรม การผลิตผ้าพื้นเมืองจึงแตกต่างกันไปตามกลุ่มวัฒนธรรม 


กลุ่มอีสานเหนือ
เป็นกลุ่มชนเชื้อสายลาวที่มีกำเนิดในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง และยังมีกลุ่มชนเผ่าต่างๆ เช่น ข่า ผู้ไท โส้ แสก กระเลิง ย้อ ซึ่งกลุ่มไทยลาวนี้มีความสำคัญบิ่งในการผลิตผ้าพื้นเมืองของอีสาน ส่วนใหญ่เป็นผลผลิตจากฝ้ายและไหม แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการนำเอาเส้นใยสังเคราะห์มาทอร่วมด้วย ผ้าที่นิยมทอกัยในแถบอีสานเหนือคือ ผ้ามัดหมี่ ผ้าขิด และผ้าแพรวา
ผ้ามัดหมี่ เป็นศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองที่ใช้กรรมวิธีในการย้อมสีที่เรียกว่า การมัดย้อม (tie dye) เพื่อทำให้ผ้าที่ทอเกิดเป็นลวดลายสีสันต่างๆ เอกลักษณ์อันโดดเด่นก็อยู่ตรงที่รอยซึมของสีที่วิ่งไปตามบริเวณของลวดลายที่ผูกมัด และการเหลื่อมล้ำในตำแหน่งต่างๆ ของเส้นด้ายเมื่อถูกนำขึ้นกี่ในขณะที่ทอ ลวดลายสีสันอันวิจิตรจะได้มาจากความชำนาญของการผูกมัดและย้อมหลายครั้งในสีที่แตกต่าง ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ การทอผ้ามัดหมี่จะมีแม่ลายพื้นฐาน ลาย คือ หมี่ขอ หมี่โคม หมี่บักจัน หมี่กงน้อย หมี่ดอกแก้ว หมี่ข้อและหมี่ใบไผ่ ซึ่งแม่ลายพื้นฐานเหล่านี้ดัดแปลงมาจากธรรมชาติ เช่น จากลายใบไม้ ดอกไม้ชนิดต่างๆ สัตว์ เป็นต้น ผ้ามัดหมี่ที่มีชื่อเสียงได้แก่ เขตอำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น อำเภอบ้านเขวา จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น


ผ้าขิด หมายถึงผ้าที่ทอโดยวิธีใช้ไม้เขี่ยหรือสะกิดซ้อนเส้นยืนขึ้นตามจังหวะที่ต้องการ เว้นแล้วสอดเส้นด้ายพุ่งให้เดินตลอด การเว้นเส้นยืนถี่ห่างไม่เท่ากันจะทำให้เกิดลวดลายต่างๆ ทำนองเดียวกับการทำลวดลายของเครื่องจักสาน จากกรรมวิธีที่ต้องใช้ไม้เก็บนี้จึงเรียกว่า การเก็บขิด มากกว่าที่จะเรียก การทอขิด ผ้าขิดที่นิยมทอกันมีอยู่ 3ชนิด ตามลักษณะประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก คือ
ผ้าตีนซิ่น เป็นผ้าขิดที่ทอเพื่อใช้ต่อชายด้านล่างของผ้าซิ่น เนื่องจากผ้าทอพื้นเมืองจะมีข้อจำกัดในเรื่องของขนาดผืนผ้า ดังนั้นเวลานุ่งผ้าซิ่นผ้าจะสั้นจึงต่อชายผ้าที่เป็นตีนซิ่นและหัวซิ่นเพื่อให้ยาวพอเหมาะ
ผ้าหัวซิ่น ก็เช่นเดียวกันเป็นผ้าขิดที่ใช้ต่อชายบนของผ้าซิ่น
ผ้าแพรวา มีลักษณะการทอเช่นเดียวกับผ้าจก แพรวา มีความหมายว่า ผ้าไหมหรือผ้าฝ้ายที่ทอเป็นผืนมีความยาวประมาณวาหนึ่งของผู้ทอ ซึ่งยาวประมาณ 1.5-2 เมตร
ผ้าแพรมน มีลักษณะเช่นเดียวกับแพรวา แต่มีขนาดเล็กกว่า เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส นิยมใช้เช่นเดียวกับผ้าเช็ดหน้าและหญิงสาวผู้ไทนิยมใช้โพกผม
ผ้าลายน้ำไหล ผ้าลายน้ำไหลนี้ที่มีชื่อเสียงคือ ซิ่นน่าน (ของภาคเหนือ) มีลักษณะการทอลวดลายเป็นริ้วใหญ่ๆ สลับสีประมาณ หรือ สี แต่ละช่วงอาจคั่นลวดลายให้ดูงดงามยิ่งขึ้น ผ้าลายน้ำไหลของอีสานก็คงจะได้แบบอย่างมาจากทางเหนือ โดยทอเป็นลายขนานกับลำตัว และจะสลับด้วยลายขิดเป็นช่วงๆ
ผ้าโสร่ง เป็นผ้านุ่งสำหรับผู้ชาย ลักษณะของผ้าโสร่งจะทอด้วยไหมหรือฝ้ายมีลวดลายเป็นตาหมากรุกสลับเส้นเล็กคู่ และตาหมากรุกใหญ่สลับกัน กว้างประมาณ เมตร ยาว เมตร เย็บต่อกันเป็นผืน
กลุ่มอีสานใต้
คือกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรที่กระจัดกระจายตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษและบุรีรัมย์ เป็นกลุ่มที่มีการทอผ้าที่มีเอกลักษณ์โดยเฉพาะของตนเอง มีสีสันที่แตกต่างจากกลุ่มไทยลาว
ผ้ามัดหมี่ ในกลุ่มอีสานใต้ก็มีการทอเช่นเดียวกันนิยมใช้สีที่ทำเองจากธรรมชาติเพียงไม่กี่สี ทำให้สีของลวดลายไม่เด่นชัดเหมือนกลุ่มไทยลาว แต่ที่เห็นเด่นชัดในกลุ่มนี้คือการทอผ้าแบบอื่นๆ เพื่อการใช้สอยกันมากเช่น
ผ้าหางกระรอก จะมีสีเลื่อมงดงามด้วยการใช้เส้นไหมต่างสีสองเส้นควั่นทบกันทอแทรก 



 ผ้าปูม เป็นผ้าที่มีลักษณะการมัดหมี่ที่พิเศษเป็นเอกลักษณ์ต่างจากถิ่นอื่น
ผ้าเซียม (ลุยเซียม) ผ้าไหมที่นิยมใช้ในกลุ่มผู้สูงอายุ
ผ้าขิด การทอผ้าขิดในกลุ่มอีสานใต้มีทั้งการทอด้วยผ้าฝ้ายและผ้าไหม แต่ส่วนมากมักจะใช้ต่อเป็นตีนซิ่นในหมู่คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดี เพราะชาวบ้านทั่วไปไม่นิยมใช้กัน ลักษระการต่อตีนซิ่นของกลุ่มนี้นิยมใช้เชิงต่อจากตัวซิ่นก่อน แล้วจึงใช้ตีนซิ่นต่อจากเชิงอีกทีหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มไทยลาวอย่างเด่นชัด

การแต่งกายของภาคเหนือ


การแต่งกายของภาคเหนือ



                                                     การแต่งกายของคนภาคเหนือ


วัฒนธรรมการแต่งกายของชนภูเขาเผ่าลีซอ
 

การแต่งกาย
ลักษณะการแต่งกายของหญิงลีซอมีความโดดเด่นมาก ตั้งแต่ผ้าโพกหัว ที่เป็นทรงป้านกลม ตกแต่งด้วยลูกปัดและพู่ประดับหลากสี เวลาสวมใส่จะส่งให้ใบหน้าของผู้หญิงดูโดดเด่น สวยงาม เสื้อตัวยาวตัดเย็บด้วยผ้าสีสดใสตกแต่งด้วยริ้วผ้าเล็กๆ สลับสี สวมทับ กางเกงขายาว ครึ่งน่องสีดำ มีผ้าคาดเอวที่เมื่อคาดแล้วจะทิ้งชายไปทางด้านหลังเป็นพู่หางม้า ทำจากผ้าหลากสีเย็บเป็นไส้ไก่เส้นเล็กๆ จำนวนกว่า 100 เส้นขึ้นไปเมื่อเคลื่อนไหว พู่จะกวักแกว่งไปด้วยดูน่ารักสวยงามมากและสวมสนับแข้งสีสด
หญิงสาวและหญิงสูงอายุแต่งกายคล้ายกันต่างกันเฉพาะการใช้สี ซึ่งในกลุ่มหญิงสูงอายุจะใช้สีขรึมเข้มกว่า และผ้าโพกหัวก็ใช้ผ้าสีดำโพกพันไว้ ไม่มีลูกปัดและพู่ประดับ
ผู้ชายสวมกางเกงสีสด และสาวเสื้อสีดำตกแต่งด้วยเม็ดเงินคาดเอว ประดับด้วยพู่หางม้าทำจากผ้าเย็บเป็นไส้ไก่สลับสี เวลาคาดเอวจะทิ้งชายลงมาทางด้านหน้า เด็กๆ ยังคงสวมใส่ชุดประจำเผ่าให้เห็นโดยทั่วไป
ผ้าหม้อฮ่อม


  

       หม้อฮ่อม เป็นคำในภาษาพื้นเมืองเหนือมาจากการรวมคำ คำคือคำว่า หม้อ” และคำว่า ฮ่อม” เข้าไว้ด้วยกัน โดยหม้อเป็นภาชนะอย่างหนึ่งที่ใช้ในการบรรจุน้ำหรือของเหลวต่างๆ มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ส่วนฮ่อมนั้นเป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่ง ที่ชาวบ้านนำเอาลำต้นและใบมาหมักในน้ำตามกรรมวิธีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ จะให้น้ำเป็นสีกรมท่า และได้สีที่จะนำมาใช้ในการย้อมผ้าขาว ให้เป็นสีกรมท่าที่เรียกกันว่า ผ้าหม้อฮ่อม

ผ้าหม้อฮ่อม เป็นชื่อผ้าย้อมพื้นเมืองสีกรมท่าที่สร้างชื่อเสียงให้กับเมืองแพร่มานานแล้ว ในอดีตผ้าหม้อฮ่อมเป็นผ้าฝ้ายทอมือ ที่นำดอกฝ้ายขาวมาทำเป็นเส้นใยแล้วทอด้วยกี่พื้นเมืองเป็นผ้าพื้นสีขาว หลังจากนั้นจึงนำไปตัดเย็บให้เป็นเสื้อแบบต่าง ๆ กางเกงเตี่ยวสะตอ จากนั้นนำมาย้อมในน้ำฮ่อม ที่ได้จากการหมักต้นฮ่อมเอาไว้ในหม้อในปัจจุบันมีการทอผ้าด้วยกี่แบบพื้นเมืองน้อยลงทำให้ผ้าทอมีราคาแพง ในการตัดเย็บเสื้อผ้าหม้อฮ่อมจึงมีการใช้ผ้าดิบจากโรงงานตัดเย็บ ย้อมด้วยน้ำฮ่อมธรรมชาติหรือสีหม้อฮ่อมวิทยาศาสตร์
ผ้าหม้อฮ่อมเป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของชาวเมืองแพร่ซึ่งจะเห็นได้จากชุดการแต่งกายพื้นเมืองของชาวแพร่จะนิยมสวมใส่เสื้อผ้าหม้อฮ่อมโดยการแต่งกายของชายนั้นนิยมสวมเสื้อหม้อฮ่อมคอกลม แขนสั้น ผ่าอกติดกระดุมหรือใช้สายมัด ลักษณะคล้ายเสื้อกุยเฮงของชาวจีน และกางเกงหม้อฮ่อมขาก้วย ใช้ผ้าขาวม้ามัดเอว
ส่วนการแต่งกายพื้นเมืองของผู้หญิงเป็นเสื้อผ้าหม้อฮ่อมคอกลมแขนยาวทรงกระบอก ผ่าอกติดกระดุม และสวมผ้าถุงที่มีชื่อเรียกว่า ซิ่นแหล้” ซึ่งเป็นพื้นสีดำมีแถบสีแดงคาดบริเวณใกล้เชิงผ้า ชาวพื้นเมืองต่าง ๆ ในภาคเหนือตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันนิยมใช้เสื้อผ้าหม้อฮ่อมที่มาจากแพร่ และถ้าพูดถึงหม้อฮ่อมแท้ต้องเป็นหม้อฮ่อมแพร่เท่านั้น ซื่อเสียงของผ้าหม้อฮ่อมเมืองแพร่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ทั้งนี้เนื่องจากมีคุณภาพ ความคงทนของเนื้อผ้าและสีหม้อฮ่อมที่ใช้ย้อมผ้า ตลอดจนรูปแบบเรียบง่ายสะดวกต่อการสวมใส่ได้ในหลายโอกาส
ในปัจจุบันแหล่งผลิตเสื้อผ้าหม้อฮ่อมที่บ้านทุ่งโฮ้ง ตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเมืองแพร่ เป็นแหล่งผลิตที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดประวัติของบ้านทุ่งโฮ้ง ตามคำบอกเล่าของคนแก่ในหมู่บ้าน เล่าว่าบ้านทุ่งโฮ้งเป็นหมู่บ้านของชาวไทพวนที่ถูกกวาดต้อน และอพยพมาจากแขวงเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมื่อประมาณ พ.ศ. 2340 – 2350 โดยคนกลุ่มแรกได้เดินทางมาถึงเมืองแพร่และได้ตั้งบ้านเรือนอยู่นอกกำแพงเมืองแพร่ ทางทิศเหนือด้านประตูเลี้ยงมา ต่อมาจึงได้ย้ายจากที่เดิม มาตั้งหมู่บ้านขึ้นใหม่บริเวณที่เป็นตั้งบ้านทุ่งโฮ้งใต้ในปัจจุบัน และอยู่กันเรื่อยมา จนประมาณ พ.ศ. 2360 – 2380 จึงมีกลุ่มไทยพวนกลุ่มใหม่อพยพเข้ามาและตั้งหมู่บ้านห่างจากเดิมประมาณ 200เมตร เป็นหมู่บ้านทุ่งโฮ้งเหนือในปัจจุบัน
ผู้ที่เข้ามาอาศัยอยู่เหล่านี้มีอาชีพทางด้านการตีเหล็ก โดยมีเตาตีเหล็กกันแทบทุกหลังคาเรือน ชาวบ้านที่ตีเหล็กมาเป็นเวลานานได้ตีเหล็กจน “ทั่ง” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้รองรับการตีเหล็กลึกกร่อนลึกเป็นแอ่งซึ่งภาษาไทพวนเรียกว่า “โห้ง” จึงเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านทั่งโฮ้ง และต่อมาได้เรียกเสียงเพี้ยนไปเป็นทุ่งโห้ง และทางการได้เขียนเป็นทุ่งโฮ้ง ซึ่งเป็นชื่อของหมู่บ้านในปัจจุบันส่วนอาชีพการตีเหล็กได้เลิกไปประมาณปี พ.ศ. 2450 – 2460 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีบริษัทอิสเชียติคเข้ามาทำไม้ในภาคเหนือ ชาวบ้านทุ่งโฮ้งจึงได้ไปรับจ้างในการชักลากซุงโดยใช้ ล้อเวิ้น เทียมด้วยควายไปชักลาก ชาวไทพวนทุ่งโฮ้งยังคงสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนหลายอย่างมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ประเพณีกำฟ้า แหล่งผลิตเสื้อผ้าหม้อฮ่อมในเมืองแพร่ ผ้าหม้อฮ่อมในเมืองแพร่มีแหล่งผลิตที่สำคัญ แหล่งใหญ่ ๆดังนี้ บ้านพระหลวง ตำบลพระหลวง อำเภอสูงเม่น บ้านเวียงทอง ตำบลเวียงทอง อำเภอสูงเม่น บ้านทุ่งโฮ้ง ตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเมืองแพร่ การย้อมผ้าด้วยหม้อฮ่อม เพื่อใช้ตัดเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่มสำหรับสวมใส่จึงเป็นที่มาของผ้าหม้อฮ่อมในปัจจุบัน วัตถุดิบที่ใช้ในการทำผ้าหม้อฮ่อมแบบโบราณ ใช้วัตถุดิบสำคัญ อย่างดังนี้ คือ ต้นครามหรือต้นฮ่อม น้ำด่างจากขี้เถ้า แหล่งผลิตเสื้อผ้าหม้อฮ่อมในเมืองแพร่ ผ้าหม้อฮ่อมในเมืองแพร่มีแหล่งผลิตที่สำคัญ 3แหล่งใหญ่ ๆดังนี้ บ้านพระหลวง ตำบลพระหลวง อำเภอสูงเม่น บ้านเวียงทอง ตำบลเวียงทอง อำเภอสูงเม่น บ้านทุ่งโฮ้ง ตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเมืองแพร่ การย้อมผ้าด้วยหม้อฮ่อม เพื่อใช้ตัดเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่มสำหรับสวมใส่จึงเป็นที่มาของผ้าหม้อฮ่อมในปัจจุบัน วัตถุดิบที่ใช้ในการทำผ้าหม้อฮ่อมแบบโบราณ ใช้วัตถุดิบสำคัญ อย่างดังนี้ คือ ต้นครามหรือต้นฮ่อม น้ำด่างจากขี้เถ้า
แหล่งผลิตเสื้อผ้าหม้อฮ่อมในเมืองแพร่ ผ้าหม้อฮ่อมในเมืองแพร่มีแหล่งผลิตที่สำคัญ แหล่งใหญ่ ๆดังนี้ บ้านพระหลวง ตำบลพระหลวง อำเภอสูงเม่น บ้านเวียงทอง ตำบลเวียงทอง อำเภอสูงเม่น บ้านทุ่งโฮ้ง ตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเมืองแพร่ การย้อมผ้าด้วยหม้อฮ่อม เพื่อใช้ตัดเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่มสำหรับสวมใส่จึงเป็นที่มาของผ้าหม้อฮ่อมในปัจจุบัน วัตถุดิบที่ใช้ในการทำผ้าหม้อฮ่อมแบบโบราณ ใช้วัตถุดิบสำคัญ อย่างดังนี้ คือ ต้นครามหรือต้นฮ่อม น้ำด่างจากขี้เถ้า
ขั้นตอน ผ้าฝ้ายทอมือ หรือผ้าดิบ สำหรับตัดเย็บเสื้อ กางเกงแล้วนำมาย้อมด้วยน้ำฮ่อม ต้นครามหรือต้นฮ่อม เพื่อสกัดให้ได้สีสำหรับการย้อมผ้า โดยใช้วิธีการหมักให้เป็นน้ำฮ่อม น้ำด่าง โดยใช้ขี้เถ้าเป็นส่วนผสมของสีฮ่อมที่ได้จากต้นฮ่อม หม้อโอ่งขนาดใหญ่ สำหรับการหมักฮ่อมสำหรับย้อมผ้า ถังแช่ขี้เถ้าและหม้อน้ำด่าง สำหรับแช่ขี้เถ้าทำเป็นน้ำด่างเพื่อใช้ผสมสีฮ่อม หม้อโอ่งขนาดใหญ่ สำหรับการย้อมผ้า ตระกร้าตาห่างๆ ครอบปากหม้อโอ่งสำหรับใส่ผ้าที่จะย้อม ถุงมือเป็นเครื่องมือสมัยใหม่ที่ใช้ป้องกันไม่ให้สีดำติดมือ ในอดีตผู้ที่มีอาชีพย้อมผ้าจะใช้มือกลับผ้าที่ย้อมฮ่อม การย้อมที่ไม่สวมถุงมือทำให้มือของผู้ที่มีอาชีพนี้ติดสีย้อม ราวตากผ้าสำหรับตากผ้าที่ได้ทำการย้อมแล้วให้แห้ง
กรรมวิธี ตัดเย็บผ้าทอหรือผ้าดิบให้เป็นเสื้อกางเกงตามขนาดที่ต้องการให้เรียบร้อย จะได้เสื้อ กางเกง สีขาวที่จะนำไปย้อมฮ่อม โดยนำผ้าเหล่านี้ไปแช่น้ำธรรมดาเป็นเวลา 1 – 2 คืน แล้วนำขึ้นจากน้ำมาผึ่งให้หมาดๆ เตรียมผ้าที่จะย้อมโดยนำตระกร้าตาห่าง ๆ มาวางที่ปากหม้อโอ่ง นำผ้าลงย้อม โดยใส่ลงในตระกร้าตาห่างๆ สวมถุงมือแล้วขยำผ้าให้สีย้อมติดให้ทั่ว นำผ้าที่ย้อมฮ่อมจนทั่วแล้วไปผึ่งแดดจนแห้ง แล้วย้อมซ้ำอีก ครั้ง เมื่อได้สีที่ย้อมติดดีติดทั่วผืน ให้มีความทนทาน ควรนำไปตากแดดจนแห้ง หลังจากการย้อมครั้งสุดท้าย เสื้อ กางเกง แห้งดีแล้ว ซักน้ำครั้งสุดท้ายแล้วลงแป้งข้าวเจ้าในเสื้อกางเกงผ้าหม้อฮ่อม เพื่อรีดให้เรียบได้ง่าย ๆ ก่อนนำไปพับและมัดเป็นมัดๆ เตรียมบรรจุถุงพลาสติก พร้อมที่จะส่งให้กับพ่อค้าที่รับไปจำหน่าย
ในปัจจุบันการตัดเย็บเสื้อผ้าหม้อฮ่อม นับได้ว่าสร้างงานและทำรายได้ ให้กับชาวบ้านทุ่ง โฮ้งเป็นอย่างมาก ทำให้หมู่บ้านนี้ประชาชนมีฐานะทางเศรษฐกิจดีบ้านทุ่งโฮ้งได้เป็นเขตสุขาภิบาลแห่งหนึ่งของจังหวัดแพร่ ซึ่งมีร้านตัดเย็บเสื้อผ้าหม้อฮ่อมตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละร้านต่างก็มีเครื่องหมายและชื่อร้านแตกต่างกันออกไป ส่วนในด้านรูปแบบ ได้มีการปรับปรุงเสื้อผ้าหม้อฮ่อมให้มีแบบที่แตกต่างไปจากเดิมตามความต้องการของตลาดผู้บริโภค ตัดเย็บเป็นเสื้อซาฟารี เสื้อคอเชิร์ต มีทั้งที่เป็นแบบแขนสั้นและแขนยาว เป็นต้น
ตีนจกหม้อฮ่อม การพัฒนางานทอผ้าพื้นเมือง โดยเฉพาะตีนจกในจังหวัดแพร่ ในขณะนี้มีการพัฒนาผ้าตีนจกที่ใช้เส้นใยฝ้ายแท้ๆ ย้อมด้วยฮ่อม และสีธรรมชาติที่ได้จากเปลือกของต้นไม้หลายชนิด ถึงแม้ลวดลายยังไม่เข้าขั้น แต่ก็เคยได้รางวัลประเภทความคิดสร้างสรรค์มาแล้ว หากการทอผ้าตีนจกหม้อฮ่อมนำโดย นางรัตนา เรือนศักดิ์ จากกลุ่มอาชีพบ้านน้ำรัด ตำบลน้ำรัด อำเภอหนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่ได้รับการพัฒนาลวดลายอย่างในอำเภอลอง ผ้าจกหม้อฮ่อมก็จะสวยงามและมีเอกลักษณ์ของท้องถิ่นอีกแห่งของจังหวัดแพร่ สีคราม ได้จากฮ่อม สีน้ำตาลอ่อน ได้จากเปลือกต้นลำใย เปลือกต้นสะเดา เปลือกต้นประดู่ สีน้ำตาลอมส้ม ได้จากเปลือกต้นกระท้อนและสีเสียด
ผ้าจกที่ย้อมสีธรรมชาติ บ้านน้ำรัด จ.แพร่
ขอขอบคุณหนังสือ ผ้าทอพื้นเมืองในภาคเหนือ มหาวิทยาศิลปากร



วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อาหารเหนือ


แกงผักกาดจอ

แกงฮังเล
น้ำพริกอ่อง
ลาบเหนือ

ตำขนุน
แคปหมู
แกงดคไก่
แกงดอกดิน
แกงสะเเล
แกงขนุน
ใส้อั่ว
แกงผักหวานใส่ไข่มดเเดง
ใข่ป่าม
น้ำพริกหนุ่ม
ลาบเลือด
แกงมะรุม

อาหารพื้นบ้านภาคใต้


อาหารพื้นบ้านภาคใต้
      อาหารพื้นบ้านภาคใต้มีรสชาติโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ สืบเนื่องจากดินแดนภาคใต้
เคยเป็นศูนย์กลางการเดินเรือค้าขายของพ่อค้าจากอินเดีย จีนและชวาในอดีต ทำให้วัฒนธรรม
ของชาวต่างชาติโดยเฉพาะอินเดียใต้ ซึ่งเป็นต้นตำรับในการใช้เครื่องเทศปรุงอาหารได้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมาก
           อาหารพื้นบ้านภาคใต้ทั่วไป มีลักษณะผสมผสานระหว่างอาหารไทยพื้นบ้านกับอาหารอินเดียใต้ เช่น น้ำบูดู ซึ่งได้มาจากการหมักปลาทะเลสดผสมกับเม็ดเกลือ และมีความคล้ายคลึงกับอาหารมาเลเซีย อาหารของภาคใต้จึงมีรสเผ็ดมากกว่าภาคอื่น ๆ และด้วยสภาพภูมิศาสตร์อยู่ติดทะเลทั้งสองด้านมีอาหารทะเลอุดมสมบูรณ์ แต่สภาพอากาศร้อนชื้น ฝนตกตลอดปี อาหารประเภทแกงและเครื่องจิ้มจึงมีรสจัด ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ป้องกันการเจ็บป่วยได้อีกด้วย
           เนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงเป็นอาหารส่วนมากนิยมสัตว์ทะเล เช่น ปลากระบอก ปลาทู ปูทะเล กุ้ง หอย ซึ่งหาได้ในท้องถิ่น อาหารพื้นบ้านของภาคใต้ เช่น แกงเหลือง แกงไตปลา นิยมใส่ขมิ้นปรุงอาหารเพื่อแก้รสคาว เครื่องจิ้มคือน้ำบูดู
           อาหารของภาคใต้จะมีรสเผ็ดมากกว่าภาคอื่นๆ แกงที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ คือ แกงเหลือง แกงไตปลา เครื่องจิ้มก็คือ น้ำบูดู และชาวใต้ยังนิยมนำน้ำบูดูมาคลุกข้าวเรียกว่า "ข้าวยำ" มีรสเค็มนำและมีผักสดหลายชนิดประกอบ อาหารทะเลสดของภาคใต้มีมากมาย ได้แก่ ปลาหอยนางรม และกุ้งมังกร เป็นต้น        

อาหารไทยภาคใต้
          อาหารของภาคใต้จะมีรสเผ็ดมากกว่าภาคอื่นๆ แกงที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ คือ แกงเหลือง แกงไตปลา เครื่องจิ้มก็คือ น้ำบูดู และชาวใต้ยังนิยมนำน้ำบูดูมาคลุกข้าวเรียกว่า "ข้าวยำ" มีรสเค็มนำและมีผักสดหลายชนิดประกอบ อาหารทะเลสดของภาคใต้มีมากมาย ได้แก่ ปลาหอยนางรม และกุ้งมังกร เป็นต้น
     


         เม็ดเหรียง เป็นคำเรียกของคนภาคใต้ มีลักษณะคล้ายถั่วงอกหัวโต แต่หัวและหางใหญ่กว่ามาก สีเขียว เวลาจะรับประทานต้องแกะเปลือกซึ่งเป็นสีดำออกก่อน จะนำไปรับประทานสดๆ หรือนำไปผัดกับเนื้อสัตว์  หรือนำไปดองรับประทาน
กับแกงต่างๆ หรือกับน้ำพริกกะปิ หรือ กับหลนก็ได้



        ลูกเนียง  มีลักษณะกลม เปลือกแข็งสีเขียวคล้ำเกือบดำ ต้องแกะเปลือกนอก แล้วรับประทานเนื้อใน ซึ่งมีเปลือกอ่อนหุ้มอยู่ เปลือกอ่อนนี้จะลอกออกหรือไม่ลอกก็ได้แล้วแต่ความชอบ ใช้รับประทานสดๆ กับน้ำพริกกะปิ หลนแกงเผ็ด โดยเฉพาะแกงไตปลา ลูกเนียงที่แก่จัดใช้ทำเป็นของหวานได้ โดยนำไปต้มให้สุกแล้วใส่มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย และน้ำตาลทรายคลุกให้เข้ากัน

         ฝักสะตอ มีลักษณะเป็นฝักยาว สีเขียว เวลารับประทานต้องปอกเปลือกแล้วแกะเม็ดออก ใช้ทั้งเม็ดหรือนำมาหั่น ปรุงอาหารโดยใช้ผัดกับเนื้อสัตว์หรือใส่ในแกง นอกจากนี้ยังใช้ต้มกะทิรวมกับผักอื่นๆ หรือใช้เผาทั้งเปลือกให้สุก แล้วแกะเม็ดออกรับประทานกับน้ำพริก หรือจะใช้สดๆ โดยไม่ต้องเผาก็ได้ ถ้าต้องการเก็บไว้นานๆ ควรดองเก็บไว้
อาหารพื้นบ้านภาคใต้ที่มีชื่อเสียง เช่น
แกงไตปลาน้ำข้น

ประเพณีบวชลูกแก้ว


บวชลูกแก้ว หรือปอยส่างลอง หมายถึง ประเพณีบรรพชาเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา ซึ่งพบเห็นกันตั้งแต่จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะในเขตอำเภอขุนยวม อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน และผู้ที่เข้าร่วมประเพณีนี้สืบเชื้อสายมาจากไทใหญ่
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดความขัดแข้งกันในวงกว้าง ครอบคลุมทุกทวีปและประเทศส่วนใหญ่รวมทั้งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1938) สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ผลจากการประสบปัญหาต่างๆ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ทำให้ประเพณีปอยส่างลองงดและเลิกไปในทีุ่สุด กระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นปีที่ไทยฉลอง
กรุงรัตนโกสินทร์ครอบ 200 ปี จึงมีการฟื้นฟูและจัดงานประเพณีปอยส่างลองหรือบวชลูกแก้วขยายไปถึงจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ด้วย
งานบวชลูกแก้ว เป็นพิธีเฉลิมฉลองการบรรพชาสามเณรในศาสนาพุทธ จัดงานประมาณ 3 วัน หรือ 5 – 7 วัน นิยมจัดในช่วงปลายเดือนมีนาคมหรือเดือนเมษายน เป็นช่วงที่ชาวบ้านเว้นว่างจากทำนาทำไร่ และปิดเทอม ในการบรรพชาเป็นสามเณรครั้งนั้นก็เพื่อศึกษาพุทธธรรมเป็นการทดแทนคุณบิดามารดา ก่อนถึงวันส่างลองหนึ่งวัน เด็กผู้ชายที่เข้าร่วมต้องปลงผมและอาบน้ำ เจิมด้วยน้ำหอม แต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าเครื่องประดับต่างๆ อย่างอลังการ
  • วันแรกของปอยส่างลองจะิเริ่มด้วยขบวนแห่ลูกแก้วไปรอบๆ เมืองตามถนนหนทาง ขบวนแห่ประกอบด้วยเสียงดนตรีของชาวไทใหญ่ ได้แก่ มองเซิง (ฆ้องชุด) ฉาบ และกลอง-
    มองเซิง (กลองสองหน้า) แต่เดิมลูกแก้วจะขี่ม้า แต่ม้าหายากจึงเปลี่ยนมาเป็นการนั่งเก้าอี้แทน เพราะลูกแก้วเปรียบเสมือนเทวดา ต้องใส่ถุงเท้าขาวตลอด 3 วัน ห้ามมิให้ลูกแก้วเหยียบพื้น
  • วันที่สองก็เป็นขบวนแห่ด้วยเครื่องสักการะเพื่อถวายพระพุทธและเครื่องจตุปัจจัยถวายพระสงฆ์
  • วันที่สามเป็นวันบวช ก็เริ่มด้วยการนำลูกแก้วไปวัดเพื่อทำการบรรพชาจากพระผู้ใหญ่ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นผ้ากาสาวพัตร์สีเหลือง เป็นสามเณรโดยสมบูรณ์
    (ประชิด สกุณะพัฒน์, 2551, หน้า 3)

ประเพณีท้องถิ่นภาคใต้



ประเพณีท้องถิ่นภาคใต้ 

- ประเพณีเปลี่ยนผ้าพระสามองค์
        พระสามองค์ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของอำเภอเทพา สร้างขึ้นเมื่อใดไม่มีพยานหลักฐานปราฏแน่ชัด แต่มีผู้เฒ่าผู้แก่ยืนยันว่า เมื่อจำความได้ก็เห็นพระสามองค์อยู่คู่กับวัดแล้ว นามพระสามองค์ องค์ขวามือ คือ จังหัน” องค์กลาง คือ แก่นจันทร์” องค์ซ้ายมือ คือ เกสร” ประดิษฐานอยู่ ณ วัดเทพาไพโรจน์ หมู่ที่ 4 ตำบลเทพา อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา

          พระสามองค์ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนมาตั้งแต่โบราณกาล ในเดือนเมษายนของทุกปี ประชาชนชาวอำเภอเทพา และอำเภอใกล้เคียงจะร่วมกันทรงน้ำและเปลี่ยนผ้าให้พระสามองค์เป็นประจำ จนกลายเป็นประเพณี ซึ่งเรียกว่า ประเพณีเปลี่ยนผ้าพระสามองค์” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ เมษายน ของทุกปี

-ประเพณีรับเทียมดา                                                         
                ประเพณีรับเทียมดา เป็นประเพณีที่ชาวบ้านมีความเชื่อว่า ในหมู่บ้านจะมีเทวดามาคุ้มครองรักษาชาวบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข ทำมาหากินได้คล่อง โดยเชื่อว่าเทวดาที่มาอยู่คุ้มครองจะกลับไปในวันขึ้นปีใหม่ไทย (13 เมษายน)  และเทวดาองค์ใหม่ก็จะมาอยู่คุ้มครองรักษาต่อจากเทวดาองค์เก่า ชาวบ้านจึงได้จัดพิธีรับ-ส่งเทวดา ขึ้นในวันดังกล่าว ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป เรียกว่า ประเพณีรับเทวดา” เพื่อแสดงความความกตัญญูกตเวทีต่อเทวดาที่ได้มาคุ้มครอง และความเป็นสิริมงคลในหมู่บ้าน โดยมีความเชื่อว่า บ้านใด ครอบครัวใด ได้มาร่วมพิธีรับเทียมดา ก็จะทำให้บุคคลในครอบครัวนั้นอยู่เย็นเป็นสุข
               ประเพณีรับเทียมดา มีอุปกรณ์ในการประกอบพิธี ประกอบด้วย
               1. ร้าน สำหรับจัดวางเครื่องบวงสรวงเทวดา ทำด้วยไม่ไผ่สูงประมาณ 1 เมตร ปูด้วยใบตอง
               2. เครื่องบวงสรวง ประกอบด้วย ข้าวสุกที่ยังไม่มีใครตักกิน เรียกว่า ข้าวปากหม้อ ปลาย่างทั้งตัว เรียกว่า ปลามีหัวมีหาง น้ำดื่ม เหล้า ดอกไม้ ธูปเทียน โดยจะนำสิ่งเหล่านี้ใส่ภาชนะที่ทำด้วยใบตอง แล้วจัดวางในถาด นำไปวางบนร้านที่ทำพิธี
                3. ธง ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของการรับ-ส่งเทวดา เป็นธงรูปสามเหลี่ยมทำด้วยกระดาษสีขาว จำนวน 2 ธง จะมีรวงข้าว 3 รวง หมากพลู 1 คำ ผูกติดไว้ที่ปลายธง ธงที่ 1 จะเขียนว่า ข้าพเจ้า นาย...นาง....ได้มารับเทียมดาองค์ใหม่แล้ว ส่วนธงที่ 2 จะเขียนว่า ข้าพเจ้า นาย...นาง... ได้มาส่งเทียมดาองค์เก่าแล้ว
              ก่อนจะถึงการประกอบพิธีกรรม หนุ่มสาวและเด็กๆ ก็จะสนุกสนานด้วยการตั้งขบวนเดินไปตามแต่ละบ้าน และส่งเสียงร้อง รับเทียมดากันเหย... เพื่อเป็นการย้ำเตือนให้ชาวบ้านเตรียมตัวไปพร้อมกันในสถานที่ประกอบพิธี หลังจากนั้นชาวบ้านก็จะนำถาดที่ใส่เครื่องบวงสรวงมายังสถานที่ประกอบพิธี แล้วบรรจงวางของที่นำมาบวงสรวงลงบนร้านที่ทำไว้ แล้วเริ่มประกอบพิธี โดยผู้นำประกอบพิธีจะนำกล่าวนะโมฯ สามจบ แล้วต่อด้วยบทสวดชุมนุมเทวดา จบแล้วผู้ขับร้องเพลงบอกก็จะขับร้องเพลงเชิญเทวดา เมื่อจบแล้ว ทุกคนก็จะนั่งประนมมือด้วยอาการสงบ รอบๆ ร้าน แล้ว อธิษฐานขอให้เทวดาคุ้มครอง และขอสิ่งที่ปรารถนาแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน และนำธงที่ ที่เป็นธงรับเทียมดา ไปปักไว้ที่หลังคาบ้าน และมีความเชื่อว่าเทวดาได้มาคุ้มครองปกปักษ์รักษาแล้ว ครอบครัวก็จะอยู่เย็นเป็นสุข

ประเพณีแข่งเรือยาว
               ประเพณีแข่งเรือยาวบางกล่ำ เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมา เนื่องจากในอดีตพื้นที่อำเภอบางกล่ำ ในพื้นที่ตำบลบางกล่ำ ตำบลแม่ทอม เป็นที่ราบลุ่ม มีลำคลองออกสู่ทะเลสาบหลายสาย เช่น คลองบางกล่ำ คลองท่าเมธุ คลองคูเต่า ประชาชนในพื้นที่แถบนี้จะใช้เรือเป็นพาหนะในการติดต่อไปมาหาสู่ และใช้ขนส่งผลผลิต
               การแข่งเรือยาว จะจัดบริเวณท่าน้ำวัดบางหยี หมู่ที่ 4 ตำบลบางกล่ำ อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา โดยระยะแรกจะทำหลังจากออกพรรษา ซึ่งเป็นฤดูฝน มีน้ำหลาก ชาวบ้านที่อาศัยในแถบสายน้ำบางกล่ำ-แหลมโพธิ์จะแข่งเรือยาวขึ้นในวันทอดกฐิน เนื่องจากวันดังกล่าวมีประชาชนมาร่วมทำบุญมากมาย เรือของพุทธศาสนิกชนที่เดินทางมาทอดกฐิน ก็จะเข้าร่วมแข่งขันจนเกิดเป็นประเพณีแข่งเรือยาวขึ้น ต่อมาได้มีการแข่งขันกันในระหว่างหมู่บ้าน ขยายออกไปในอำเภอใกล้เคียง และได้มีการจัดการแข่งขันขึ้นเป็นประจำทุกปี จนกลายเป็นประเพณีแข่งเรือยาวประจำปี
               ปัจจุบันการแข่งขันเรือยาว จะกำหนดแข่งขันเป็นประจำทุกปี โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น 3ประเภท คือ ประเภท 7 ฝีพาย 9 ฝีพาย และ 12 ฝีพาย และได้เปลี่ยนจากการแข่งขันจากวันทอดกฐิน มาเป็นในวันเสาร์แรกของเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี


-ประเพณีรับ-ส่งตายาย                                                                                        
                 ประเพณี รับ - ส่งตายาย เป็นประเพณีทำบุญวันสาร์ทในเดือนสิบ   เป็นประเพณีที่แสดงออกถึงความกตัญญูอย่างสูงยิ่งต่อบรรพบุรุษ เป็นประเพณีที่ชาวบ้านทุกครอบครัวไปทำบุญที่วัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ ล่วงลับไปแล้ว
                ช่วงเวลา วันรับตายาย จะตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ในวันนี้ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด มักเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อประกอบกิจกรรมดังกล่าวนอกจากจะเป็นการกระทำ เพื่อแสดงออกถึงความกตัญญูแล้ว ยังเป็นการพบปะสังสรรค์ระหว่างญาติพี่น้องอีกด้วย ชาวบ้านทุกครอบครัวจะจัดอาหารคาวหวาน ดอกไม้ธูปเทียน ไปทำบุญที่วัด
               วันส่งตายาย จะตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ซึ่งการทำบุญวันส่งตายายจึงมีความสำคัญพอกัน แต่ในวันส่งตายายจะจัดเตรียมอาหารคาวหวาน ต่าง ๆ เป็นพิเศษ พร้อมของใช้ในครัวเรือน เชื่อว่า จัดเตรียมให้ตายายนำกลับไปใช้พิธีกรรม
            มีการทำบุญตักบาตรตั้งแต่ตอนเช้า นำอาหารถวายพระ ใส่บาตร แล้ว ยังนำไปวางบนร้าน เรียกว่า ร้านเปรตซึ่งสร้างยกพื้นขึ้นมากลางลานวัด เพื่อให้ชาวบ้าน และเด็ก ๆ เข้าแย่งอาหารหรือชิงเปรตกัน
              ขนมตายายที่มักทำกันในเดือน ๑๐ ได้แก่ ขนมลา ขนมกรุบ ขนมจู้จุน ขนมบ้า ขนมไข่ปลา ยาหนม ขนมพอง ต้ม และผลไม้ต่าง ๆ แล้วแต่ละท้องที่หลังจากทำบุญตอนเช้าเสร็จแล้วก็จะมีการบังสกุลบรรพบุรุษ บางท้องที่จะทำตอนเย็นเป็นอันเสร็จพิธี
    * ความสำคัญ
                วันรับส่ง - ตายาย เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในครอบครัว ทั้งที่อยู่ใกล้และอยู่ไกล นอกจากนี้เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที ต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว


 -ประเพณีทำบุญทวดช้าง
         ประเพณีทำบุญพ่อทวดช้าง เป็นประเพณีที่กระทำกันทุกปี โดยพ่อทวดช้าง ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 2 ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา มีการสร้างศาลาเพื่อประดิษฐานจำลองพ่อทวดช้าง และควาญช้างไว้เพื่อเป็นที่เคารพสักการะบูชา พ่อทวดช้างมีอภิหารหลายอย่างปรากฏให้คนในหมู่บ้านเขารูปช้างพบเห็น คนในหมู่บ้านจึงมีความเชื่อและความศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของพ่อทวดช้างเป็นอย่างยิ่ง และมีการทำบุญประจำปีกันทุกปี โดยจะทำหลังจากทำบุญเดือน 5 (สงกรานต์) ที่วัดเกาะถ้ำเสร็จแล้ว ภายใน 1-7 วัน ชาวบ้านในพื้นที่หน้าทวดช้าง จะนัดแนะเพื่อร่วมทำบุญทวดช้าง และบุญเจดีย์ที่ตั้งอยู่หน้าทวดช้าง มักนิยมทำกันที่ใต้ต้นใหญ่ หรือเชิงเขาหน้าทวด เดิมจะทำกันที่บริเวณหน้าส่วนเจ้ากล้อง (หน้าสระน้ำมหาวิทยาลัยทักษิณ) แต่ภายหลังที่ดินถูกเวนคืน เพื่อสร้างเป็นมหาวิทยาลัยทักษิณ ในปี 2511 จึงกลับมาทำที่บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่บริเวณบ้านเลขที่ 71 หมู่ที่ 2 ซอยมิตรสัมพันธ์ (ปากทางเขารูปช้างเดิม)
                  พิธีการดั้งเดิม ผู้ที่อาศัยอยู่ในระแวกนั้น หรือผู้ที่ให้ความเคารพนับถือทวดช้างออกเรี่ยไรข้าวสารเงินทองมาทำขนมจีน เพื่อทำพิธีเลี้ยงพระในตอนเช้าและฉันเพล โดยนิมนต์พระสงฆ์ 7-9 รูปมาทำพิธี แต่ปัจจุบันนิยมนำข้าวหม้อแกงหม้อ มาร่วมทำบุญเลี้ยงพระในตอนพระฉันเพล ส่วนเจ้าภาพซึ่งรับเป็นเจ้าภาพในการทำบุญพ่อทวดช้างและบุญเจดีย์จะทำขนมจีน เนื่องจากขนมจีนจำเป็นต้องมีเพราะคนเฒ่าคนแก่ สั่งสอนไว้ว่า การเลี้ยงขนมจีนจะทำให้มีเส้นมีสายโยงใยกันแยกกันไม่ขาดเหมือนญาติมิตร หลังจากเสร็จพิธีทางสงฆ์ ก็จะร่วมรับประทานอาหารและทำพิธีรดน้ำคนเฒ่าคนแก่ แจกเสื้อผ้า คนเฒ่าคนแก่จะให้พรลูกหลานที่ไปร่วมงาน ไม่ว่าลูกหลานจะอยู่จังหวัดใด ส่วนใหญ่เมื่อถึงกำหนดทำบุญทวดช้าง บุญเจดีย์ ต่างก็จะกลับมาทำบุญดังกล่าว เพราะถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมือง เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของคนทั้งตำบล และของผู้คนทั่วๆ ไป ส่วนใหญ่แทบทุกปีจะมีหนังตะลุงเล่นในคืนก่อนวันทำบุญ ซึ่งบางครั้ง ก็จะจัดรับเทียมดาเสร็จแล้วมีหนังตะลุงแสดง รุ่งเช้าทำบุญทวดช้าง บุญเจดีย์ ซึ่งได้สืบทอดกันมา
               การที่ยึดเอาการทำบุญวัดเกาะถ้ำเป็นเกณฑ์ ก็เนื่องจากบรรพบุรุษส่วนใหญ่จะอยู่ที่นั้น หลังจากบังสุกุลกระดูกบรรพบุรุษแล้ว จึงมาทำบุญประเพณีตลอดมา
          ปัจจุบันประเพณีทำบุญพ่อทวดช้างจะจัดขึ้นทุกปี ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา โดยจะจัดขึ้นพร้อม ๆ กับ งานวัฒนธรรมสัมพันธ์ ประมาณเดือนสิงหาคม





ประเพณีท้องถิ่นภาคอีสาน


ประเพณีท้องถิ่นภาคอีสาน


     ประเพณีล้วนได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งแวดล้อมภายนอกที่เข้าสู่สังคมรับเอาแบบปฏิบัติที่หลากหลายเข้ามาผสมผสานในการดำเนินชีวิตประเพณีจึงเรียกได้ว่าเป็น วิถีแห่งการดำเนินชีวิตของสังคม โดยเฉพาะศาสนาซึ่งมีอิทธิพลต่อประเพณีไทยมากที่สุด วัดวาอารามต่างๆในประเทศไทยสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของพุทธศาสนาที่มีต่อสังคมไทยและชี้ให้เห็นว่าชาวไทยให้ความสำคัญในการบำรุงพุทธศาสนาด้วยศิลปกรรมที่งดงามเพื่อใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาตั้งแต่โบราณกาล เป็นต้น
      คำว่า ประเพณี ตามพจนานุกรมภาษาไทยฉบับบัณฑิตยสถาน ได้กำหนดความหมายประเพณีไว้ว่า ขนบธรรมเนียมแบบแผน ซึ่งสามารถแยกคำต่างๆ
ออกได้เป็น
           ขนบ มีความหมายว่า ระเบียบแบบอย่าง
           ธรรมเนียม มีความหมายว่า ที่นิยมใช้กันมา และเมื่อ
     นำมารวมกันแล้วก็มีความหมายว่า ความประพฤติที่คนส่วนใหญ่ ยึดถือเป็นแบบแผน และได้ทำการปฏิบัติสืบต่อกันมา จนเป็นต้นแบบที่จะให้คนรุ่นต่อๆไปได้ประพฤติปฏิบัติตามกันต่อไป


ชื่อประเพณี  ฮีตสิบสอง

จังหวัด กาฬสินธุ์
     ประเพณีท้องถิ่นกาฬสินธุ์ ยังยึดถือ และปฏิบัติตามฮีตสิบสอง คำว่า "ฮีต" หมายถึง จารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี แบบแผนฮีตที่ถือปฏิบัติกันอยู่ ๑๒ อย่าง ภาษาพื้นบ้านเรียกว่า "บุญ" ดังนี้
๑. บุญข้าวกรรม
 
     เกี่ยวกับพระภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสส ต้องอยู่กรรมจึงจะพ้นอาบัติ ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ในระหว่างภิกษุเข้ากรรม ญาติ โยม สาธุชน ผู้หวังบุญกุศล จะไปร่วมทำบุญบริจาคทาน รักษาศีลเจริญภาวนา และฟังธรรม เป็นการร่วมทำบุญระหว่างพระภิกษุ สามเณร และชาวบ้านกำหนดวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือนอ้าย"
๒. บุญคูนลาน
     การทำบุญคูนลาน จะทำที่วัด หรือที่บ้านก็ได้ โดยชาวบ้านจะเอาข้าวมารวมกัน แล้วนิมนต์พระภิกษุมาเจริญพระพุทธมนต์ จัดน้ำอบ น้ำหอมไว้ประพรม วนด้ายสายสิญจน์บริเวณรอบกองข้าว ตอนเช้ามีการถวายอาหารบิณฑบาต และนำเอาน้ำพระพุทธมนต์ไปรดกองข้าว ถ้าทำที่บ้านเรียกว่า "บุญกุ้มข้าว" กำหนดในเดือนยี่ เรียกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือนยี่
๓. บุญข้าวจี่
     เดือนสามชาวบ้านนิยมทำบุญข้าวจี่ เพื่อถวายพระ เป็นการละทานชนิดหนึ่ง และถือว่าได้รับอานิสงส์มากงานหนึ่ง กำหนดทำบุญในเดือนสาม
๔. บุญพระเวส
 
     บุญที่มีการเทศพระเวส หรือบุญมหาชาติ หนังสือมหาชาติเป็นหนังสือชาดกที่แสดงจริยวัตรของพระพุทธเจ้า เมื่อเสวยชาติเป็นพระเวสสันดร กำหนดทำบุญเดือนสี่ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือนสี่"
๕. บุญสรงน้ำ
     บุญสรงน้ำ มีการรดน้ำ หรือสรงน้ำพระพุทธรูป พระสงฆ์ และผู้หลักผู้ใหญ่ มีการทำบุญทำทาน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญตรุษสงกรานต์" กำหนดทำบุญในเดือน ห้า
๖. บุญบั้งไฟ
     ก่อนการทำนาชาวบ้านในจังหวัดในภาคอิสาน จะมีการฉลองอย่างสนุกสนาน โดยการจุดบั้งไฟ เพื่อไปบอกพญาแถน เชื่อว่าจะทำให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล มีการตกแต่งบั้งไฟให้สวยงามนำมาประกวดแห่ แข่งขันกันในวันรุ่งขึ้น กำหนดทำบุญในเดือน หก
๗. บุญซำฮะ
 
     ซำฮะ คือการชำระล้างสิ่งสกปรก รกรุงรังให้สะอาดหมดจด เมื่อถึงเดือน ๗ ชาวบ้านจะรวมกันทำบุญโดยยึดเอา "ผาม หรือศาลากลางบ้าน" เป็นสถานที่ทำบุญ ชาวบ้านจะเตรียมดอกไม้ธูปเทียน โอน้ำ ฝ้ายใน ไหมหลอด ฝ้ายผูกแขน แห่ทรายมารวมกันที่ ผามหรือศาลากลางบ้าน ตอนเย็นนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ ตอนเช้าถวายอาหาร เมื่อเสร็จพิธีทุกคนจะนำน้ำพระพุทธมนต์ ฝ้ายผูกแขน แห่ทรายของตนกลับบ้าน นำน้ำมนต์ไปรดลูกหลาน ทรายนำไปหว่านรอบบ้าน ฝ้ายผูกแขนนำไปผุกข้อมือลูกหลานเพื่อให้เกิดสวัสดิมงคลตลอดปี ถ้ามีการเจ็บไข้ได้ป่วยต้องมีการสวดถอด เป็นต้น กำหนด ทำบุญในเดือน ๗
๘. บุญเข้าพรรษา
     ในเทศกาลเข้าพรรษา เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์จะต้องบำเพ็ญไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้บริบูรณ์ ส่วนคฤหัสถ์ก็จะต้องบำเพ็ญบุญกริยาวัตถุ ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา ให้เต็มเปี่ยม ตอนเช้าญาติโยมจะนำอาหารมาถวายพระภิกษุ ตอนบ่ายนำดอกไม้ธูปเทียน ข้าวสาร ผ้าอาบน้ำฝน รวมกันที่ศาลาวัด ตอนเย็นญาติโยมพากันทำวัตรเย็นแล้วฟังเทศน์ กำหนด วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือน ๘"
๙. บุญข้าวประดับดิน
 
     ห่ออาหาร และของขบเคี้ยวเป็นห่อๆ แล้วนำไปถวายวางแบไว้กับดิน จึงเรียกว่า "บุญข้าวประดับดิน" ชาวบ้านจะจัดอาหารคาว หวาน และหมากพลู บุหรี่ กะว่าให้ได้ ๔ ส่วน
     ส่วนที่ ๑ เลี้ยงดูกันในครอบครัว
     ส่วนที่ ๒ แจกให้ญาติพี่น้อง
     ส่วนที่ ๓ อุทิศไปให้ญาติที่ตาย
     ส่วนที่ ๔ นำไปถวายพระสงฆ์
     ทำเป็นห่อๆให้ได้พอควร โดยนำใบตองกล้วย มาห่อของคาว หวาน หมากพลู บุหรี่ แล้วเย็บรวมกันเป็นห่อใหญ่ ในระหว่าง เช้ามืดในวันรุ่งขึ้นจะนำห่อเหล่านี้ไปวางไว้บริเวณวัด ด้วยถือว่าญาติพี่น้องจะมารับของที่นั่น (เชื่อกันว่าเป็นวันยมทูตเปิดนรกชั่วคราว ให้สัตว์นรก มารับของทานในระยะหนึ่ง และยังถือว่าเป็นวันกตัญญูอีกด้วย) ตอนเช้านำอาหารอีกส่วนหนึ่งไปถวายพระ ฟังพระธรรมเทศนา เสร็จแล้วทำพิธีอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว กำหนดทำบุญในเดือน ๙
๑๐. บุญข้าวสาก
     การเขียนชื่อลงในพาข้าว (สำรับกับข้าว) เรียกว่าข้าวสาก (สลาก) ญาติโยมจะจัดอาหารเป็นห่อๆ แล้วนำไปแขวนไว้ตามต้นไม้ โดยทำกันในตอนกลางวัน ก่อนเพล เป็นอาหาร คาว หวาน พอถึงเวลา ๔ โมงเช้า พระสงฆ์จะตีกลองโฮม (รวม) ญาติโยมจะนำพาข้าว (สำรับกับข้าว) ของตนมารวมกัน ณ ศาลาการเปรียญ เจ้าภาพจะเขียนชื่อลงในกระดาษม้วนลงในบาตร เมื่อพร้อมแล้วหัวหน้ากล่าวนำคำถวายสลากภัต จบแล้วยกบาตรสลากไปให้พระจับ ถูกชื่อใคร ก็ให้ไปถวายพระองค์นั้น ก่อนจะถวายพาข้าวให้นำพาข้าว ๑ พา มาวางหน้าพระเถระ แล้วให้พระเถระ กล่าวคำอุปโลกน์ กำหนด บุญข้าวสากนิยมทำกันในเดือน ๑๐
๑๑. บุญออกพรรษา
     การทำบุญออกพรรษานี้ เป็นการเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ได้มีโอกาสว่ากล่าวตักเตือนกันได้ พระภิกษุสงฆ์สามารถเดินทางไปอบรมศีลธรรม หรือไปเยี่ยม ถามข่าวคราว ญาติพี่น้องได้ และภิกษุสงฆ์สามารถหาผ้ามาผลัดเปลี่ยนได้ เมื่อถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ตั้งแต่เช้ามืดจะมีการตีระฆังให้พระสงฆ์ไปรวมกันที่โบสถ์แสดงอาบัติเช้า จบแล้วมีการปวารณา คือเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ด้วยกันว่ากล่าวตักเตือนกันได้ กำหนด บุญออกพรรษาในเดือน ๑๑
๑๒. บุญกฐิน
     ผ้าที่ใช้สดึงทำเป็นกรอบขึงเย็บจีวร เรียกว่าผ้ากฐิน ผู้ใดศรัทธา ปรารถนาจะถวายผ้ากฐิน ณ วัดใดวัดหนึ่งให้เขียนสลาก (ใบจอง) ไปติดไว้ที่ผนังโบสถ์ หรือศาลาวัด ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ผู้อื่นจองทับ เมื่อถึงวันกำหนดก็บอกญาติโยมให้มาร่วมทำบุญ มีมหรสพสมโภช และฟังเทศน์ รุ่งเช้าก็นำผ้ากฐินไปทอดถวายที่วัดเป็นอันเสร็จพิธี กำหนด ทำบุญระหว่างวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒