วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อาหารเหนือ


แกงผักกาดจอ

แกงฮังเล
น้ำพริกอ่อง
ลาบเหนือ

ตำขนุน
แคปหมู
แกงดคไก่
แกงดอกดิน
แกงสะเเล
แกงขนุน
ใส้อั่ว
แกงผักหวานใส่ไข่มดเเดง
ใข่ป่าม
น้ำพริกหนุ่ม
ลาบเลือด
แกงมะรุม

อาหารพื้นบ้านภาคใต้


อาหารพื้นบ้านภาคใต้
      อาหารพื้นบ้านภาคใต้มีรสชาติโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ สืบเนื่องจากดินแดนภาคใต้
เคยเป็นศูนย์กลางการเดินเรือค้าขายของพ่อค้าจากอินเดีย จีนและชวาในอดีต ทำให้วัฒนธรรม
ของชาวต่างชาติโดยเฉพาะอินเดียใต้ ซึ่งเป็นต้นตำรับในการใช้เครื่องเทศปรุงอาหารได้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมาก
           อาหารพื้นบ้านภาคใต้ทั่วไป มีลักษณะผสมผสานระหว่างอาหารไทยพื้นบ้านกับอาหารอินเดียใต้ เช่น น้ำบูดู ซึ่งได้มาจากการหมักปลาทะเลสดผสมกับเม็ดเกลือ และมีความคล้ายคลึงกับอาหารมาเลเซีย อาหารของภาคใต้จึงมีรสเผ็ดมากกว่าภาคอื่น ๆ และด้วยสภาพภูมิศาสตร์อยู่ติดทะเลทั้งสองด้านมีอาหารทะเลอุดมสมบูรณ์ แต่สภาพอากาศร้อนชื้น ฝนตกตลอดปี อาหารประเภทแกงและเครื่องจิ้มจึงมีรสจัด ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ป้องกันการเจ็บป่วยได้อีกด้วย
           เนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงเป็นอาหารส่วนมากนิยมสัตว์ทะเล เช่น ปลากระบอก ปลาทู ปูทะเล กุ้ง หอย ซึ่งหาได้ในท้องถิ่น อาหารพื้นบ้านของภาคใต้ เช่น แกงเหลือง แกงไตปลา นิยมใส่ขมิ้นปรุงอาหารเพื่อแก้รสคาว เครื่องจิ้มคือน้ำบูดู
           อาหารของภาคใต้จะมีรสเผ็ดมากกว่าภาคอื่นๆ แกงที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ คือ แกงเหลือง แกงไตปลา เครื่องจิ้มก็คือ น้ำบูดู และชาวใต้ยังนิยมนำน้ำบูดูมาคลุกข้าวเรียกว่า "ข้าวยำ" มีรสเค็มนำและมีผักสดหลายชนิดประกอบ อาหารทะเลสดของภาคใต้มีมากมาย ได้แก่ ปลาหอยนางรม และกุ้งมังกร เป็นต้น        

อาหารไทยภาคใต้
          อาหารของภาคใต้จะมีรสเผ็ดมากกว่าภาคอื่นๆ แกงที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ คือ แกงเหลือง แกงไตปลา เครื่องจิ้มก็คือ น้ำบูดู และชาวใต้ยังนิยมนำน้ำบูดูมาคลุกข้าวเรียกว่า "ข้าวยำ" มีรสเค็มนำและมีผักสดหลายชนิดประกอบ อาหารทะเลสดของภาคใต้มีมากมาย ได้แก่ ปลาหอยนางรม และกุ้งมังกร เป็นต้น
     


         เม็ดเหรียง เป็นคำเรียกของคนภาคใต้ มีลักษณะคล้ายถั่วงอกหัวโต แต่หัวและหางใหญ่กว่ามาก สีเขียว เวลาจะรับประทานต้องแกะเปลือกซึ่งเป็นสีดำออกก่อน จะนำไปรับประทานสดๆ หรือนำไปผัดกับเนื้อสัตว์  หรือนำไปดองรับประทาน
กับแกงต่างๆ หรือกับน้ำพริกกะปิ หรือ กับหลนก็ได้



        ลูกเนียง  มีลักษณะกลม เปลือกแข็งสีเขียวคล้ำเกือบดำ ต้องแกะเปลือกนอก แล้วรับประทานเนื้อใน ซึ่งมีเปลือกอ่อนหุ้มอยู่ เปลือกอ่อนนี้จะลอกออกหรือไม่ลอกก็ได้แล้วแต่ความชอบ ใช้รับประทานสดๆ กับน้ำพริกกะปิ หลนแกงเผ็ด โดยเฉพาะแกงไตปลา ลูกเนียงที่แก่จัดใช้ทำเป็นของหวานได้ โดยนำไปต้มให้สุกแล้วใส่มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย และน้ำตาลทรายคลุกให้เข้ากัน

         ฝักสะตอ มีลักษณะเป็นฝักยาว สีเขียว เวลารับประทานต้องปอกเปลือกแล้วแกะเม็ดออก ใช้ทั้งเม็ดหรือนำมาหั่น ปรุงอาหารโดยใช้ผัดกับเนื้อสัตว์หรือใส่ในแกง นอกจากนี้ยังใช้ต้มกะทิรวมกับผักอื่นๆ หรือใช้เผาทั้งเปลือกให้สุก แล้วแกะเม็ดออกรับประทานกับน้ำพริก หรือจะใช้สดๆ โดยไม่ต้องเผาก็ได้ ถ้าต้องการเก็บไว้นานๆ ควรดองเก็บไว้
อาหารพื้นบ้านภาคใต้ที่มีชื่อเสียง เช่น
แกงไตปลาน้ำข้น

ประเพณีบวชลูกแก้ว


บวชลูกแก้ว หรือปอยส่างลอง หมายถึง ประเพณีบรรพชาเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา ซึ่งพบเห็นกันตั้งแต่จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะในเขตอำเภอขุนยวม อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน และผู้ที่เข้าร่วมประเพณีนี้สืบเชื้อสายมาจากไทใหญ่
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดความขัดแข้งกันในวงกว้าง ครอบคลุมทุกทวีปและประเทศส่วนใหญ่รวมทั้งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1938) สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ผลจากการประสบปัญหาต่างๆ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ทำให้ประเพณีปอยส่างลองงดและเลิกไปในทีุ่สุด กระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นปีที่ไทยฉลอง
กรุงรัตนโกสินทร์ครอบ 200 ปี จึงมีการฟื้นฟูและจัดงานประเพณีปอยส่างลองหรือบวชลูกแก้วขยายไปถึงจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ด้วย
งานบวชลูกแก้ว เป็นพิธีเฉลิมฉลองการบรรพชาสามเณรในศาสนาพุทธ จัดงานประมาณ 3 วัน หรือ 5 – 7 วัน นิยมจัดในช่วงปลายเดือนมีนาคมหรือเดือนเมษายน เป็นช่วงที่ชาวบ้านเว้นว่างจากทำนาทำไร่ และปิดเทอม ในการบรรพชาเป็นสามเณรครั้งนั้นก็เพื่อศึกษาพุทธธรรมเป็นการทดแทนคุณบิดามารดา ก่อนถึงวันส่างลองหนึ่งวัน เด็กผู้ชายที่เข้าร่วมต้องปลงผมและอาบน้ำ เจิมด้วยน้ำหอม แต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าเครื่องประดับต่างๆ อย่างอลังการ
  • วันแรกของปอยส่างลองจะิเริ่มด้วยขบวนแห่ลูกแก้วไปรอบๆ เมืองตามถนนหนทาง ขบวนแห่ประกอบด้วยเสียงดนตรีของชาวไทใหญ่ ได้แก่ มองเซิง (ฆ้องชุด) ฉาบ และกลอง-
    มองเซิง (กลองสองหน้า) แต่เดิมลูกแก้วจะขี่ม้า แต่ม้าหายากจึงเปลี่ยนมาเป็นการนั่งเก้าอี้แทน เพราะลูกแก้วเปรียบเสมือนเทวดา ต้องใส่ถุงเท้าขาวตลอด 3 วัน ห้ามมิให้ลูกแก้วเหยียบพื้น
  • วันที่สองก็เป็นขบวนแห่ด้วยเครื่องสักการะเพื่อถวายพระพุทธและเครื่องจตุปัจจัยถวายพระสงฆ์
  • วันที่สามเป็นวันบวช ก็เริ่มด้วยการนำลูกแก้วไปวัดเพื่อทำการบรรพชาจากพระผู้ใหญ่ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นผ้ากาสาวพัตร์สีเหลือง เป็นสามเณรโดยสมบูรณ์
    (ประชิด สกุณะพัฒน์, 2551, หน้า 3)

ประเพณีท้องถิ่นภาคใต้



ประเพณีท้องถิ่นภาคใต้ 

- ประเพณีเปลี่ยนผ้าพระสามองค์
        พระสามองค์ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของอำเภอเทพา สร้างขึ้นเมื่อใดไม่มีพยานหลักฐานปราฏแน่ชัด แต่มีผู้เฒ่าผู้แก่ยืนยันว่า เมื่อจำความได้ก็เห็นพระสามองค์อยู่คู่กับวัดแล้ว นามพระสามองค์ องค์ขวามือ คือ จังหัน” องค์กลาง คือ แก่นจันทร์” องค์ซ้ายมือ คือ เกสร” ประดิษฐานอยู่ ณ วัดเทพาไพโรจน์ หมู่ที่ 4 ตำบลเทพา อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา

          พระสามองค์ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนมาตั้งแต่โบราณกาล ในเดือนเมษายนของทุกปี ประชาชนชาวอำเภอเทพา และอำเภอใกล้เคียงจะร่วมกันทรงน้ำและเปลี่ยนผ้าให้พระสามองค์เป็นประจำ จนกลายเป็นประเพณี ซึ่งเรียกว่า ประเพณีเปลี่ยนผ้าพระสามองค์” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ เมษายน ของทุกปี

-ประเพณีรับเทียมดา                                                         
                ประเพณีรับเทียมดา เป็นประเพณีที่ชาวบ้านมีความเชื่อว่า ในหมู่บ้านจะมีเทวดามาคุ้มครองรักษาชาวบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข ทำมาหากินได้คล่อง โดยเชื่อว่าเทวดาที่มาอยู่คุ้มครองจะกลับไปในวันขึ้นปีใหม่ไทย (13 เมษายน)  และเทวดาองค์ใหม่ก็จะมาอยู่คุ้มครองรักษาต่อจากเทวดาองค์เก่า ชาวบ้านจึงได้จัดพิธีรับ-ส่งเทวดา ขึ้นในวันดังกล่าว ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป เรียกว่า ประเพณีรับเทวดา” เพื่อแสดงความความกตัญญูกตเวทีต่อเทวดาที่ได้มาคุ้มครอง และความเป็นสิริมงคลในหมู่บ้าน โดยมีความเชื่อว่า บ้านใด ครอบครัวใด ได้มาร่วมพิธีรับเทียมดา ก็จะทำให้บุคคลในครอบครัวนั้นอยู่เย็นเป็นสุข
               ประเพณีรับเทียมดา มีอุปกรณ์ในการประกอบพิธี ประกอบด้วย
               1. ร้าน สำหรับจัดวางเครื่องบวงสรวงเทวดา ทำด้วยไม่ไผ่สูงประมาณ 1 เมตร ปูด้วยใบตอง
               2. เครื่องบวงสรวง ประกอบด้วย ข้าวสุกที่ยังไม่มีใครตักกิน เรียกว่า ข้าวปากหม้อ ปลาย่างทั้งตัว เรียกว่า ปลามีหัวมีหาง น้ำดื่ม เหล้า ดอกไม้ ธูปเทียน โดยจะนำสิ่งเหล่านี้ใส่ภาชนะที่ทำด้วยใบตอง แล้วจัดวางในถาด นำไปวางบนร้านที่ทำพิธี
                3. ธง ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของการรับ-ส่งเทวดา เป็นธงรูปสามเหลี่ยมทำด้วยกระดาษสีขาว จำนวน 2 ธง จะมีรวงข้าว 3 รวง หมากพลู 1 คำ ผูกติดไว้ที่ปลายธง ธงที่ 1 จะเขียนว่า ข้าพเจ้า นาย...นาง....ได้มารับเทียมดาองค์ใหม่แล้ว ส่วนธงที่ 2 จะเขียนว่า ข้าพเจ้า นาย...นาง... ได้มาส่งเทียมดาองค์เก่าแล้ว
              ก่อนจะถึงการประกอบพิธีกรรม หนุ่มสาวและเด็กๆ ก็จะสนุกสนานด้วยการตั้งขบวนเดินไปตามแต่ละบ้าน และส่งเสียงร้อง รับเทียมดากันเหย... เพื่อเป็นการย้ำเตือนให้ชาวบ้านเตรียมตัวไปพร้อมกันในสถานที่ประกอบพิธี หลังจากนั้นชาวบ้านก็จะนำถาดที่ใส่เครื่องบวงสรวงมายังสถานที่ประกอบพิธี แล้วบรรจงวางของที่นำมาบวงสรวงลงบนร้านที่ทำไว้ แล้วเริ่มประกอบพิธี โดยผู้นำประกอบพิธีจะนำกล่าวนะโมฯ สามจบ แล้วต่อด้วยบทสวดชุมนุมเทวดา จบแล้วผู้ขับร้องเพลงบอกก็จะขับร้องเพลงเชิญเทวดา เมื่อจบแล้ว ทุกคนก็จะนั่งประนมมือด้วยอาการสงบ รอบๆ ร้าน แล้ว อธิษฐานขอให้เทวดาคุ้มครอง และขอสิ่งที่ปรารถนาแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน และนำธงที่ ที่เป็นธงรับเทียมดา ไปปักไว้ที่หลังคาบ้าน และมีความเชื่อว่าเทวดาได้มาคุ้มครองปกปักษ์รักษาแล้ว ครอบครัวก็จะอยู่เย็นเป็นสุข

ประเพณีแข่งเรือยาว
               ประเพณีแข่งเรือยาวบางกล่ำ เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมา เนื่องจากในอดีตพื้นที่อำเภอบางกล่ำ ในพื้นที่ตำบลบางกล่ำ ตำบลแม่ทอม เป็นที่ราบลุ่ม มีลำคลองออกสู่ทะเลสาบหลายสาย เช่น คลองบางกล่ำ คลองท่าเมธุ คลองคูเต่า ประชาชนในพื้นที่แถบนี้จะใช้เรือเป็นพาหนะในการติดต่อไปมาหาสู่ และใช้ขนส่งผลผลิต
               การแข่งเรือยาว จะจัดบริเวณท่าน้ำวัดบางหยี หมู่ที่ 4 ตำบลบางกล่ำ อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา โดยระยะแรกจะทำหลังจากออกพรรษา ซึ่งเป็นฤดูฝน มีน้ำหลาก ชาวบ้านที่อาศัยในแถบสายน้ำบางกล่ำ-แหลมโพธิ์จะแข่งเรือยาวขึ้นในวันทอดกฐิน เนื่องจากวันดังกล่าวมีประชาชนมาร่วมทำบุญมากมาย เรือของพุทธศาสนิกชนที่เดินทางมาทอดกฐิน ก็จะเข้าร่วมแข่งขันจนเกิดเป็นประเพณีแข่งเรือยาวขึ้น ต่อมาได้มีการแข่งขันกันในระหว่างหมู่บ้าน ขยายออกไปในอำเภอใกล้เคียง และได้มีการจัดการแข่งขันขึ้นเป็นประจำทุกปี จนกลายเป็นประเพณีแข่งเรือยาวประจำปี
               ปัจจุบันการแข่งขันเรือยาว จะกำหนดแข่งขันเป็นประจำทุกปี โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น 3ประเภท คือ ประเภท 7 ฝีพาย 9 ฝีพาย และ 12 ฝีพาย และได้เปลี่ยนจากการแข่งขันจากวันทอดกฐิน มาเป็นในวันเสาร์แรกของเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี


-ประเพณีรับ-ส่งตายาย                                                                                        
                 ประเพณี รับ - ส่งตายาย เป็นประเพณีทำบุญวันสาร์ทในเดือนสิบ   เป็นประเพณีที่แสดงออกถึงความกตัญญูอย่างสูงยิ่งต่อบรรพบุรุษ เป็นประเพณีที่ชาวบ้านทุกครอบครัวไปทำบุญที่วัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ ล่วงลับไปแล้ว
                ช่วงเวลา วันรับตายาย จะตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ในวันนี้ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด มักเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อประกอบกิจกรรมดังกล่าวนอกจากจะเป็นการกระทำ เพื่อแสดงออกถึงความกตัญญูแล้ว ยังเป็นการพบปะสังสรรค์ระหว่างญาติพี่น้องอีกด้วย ชาวบ้านทุกครอบครัวจะจัดอาหารคาวหวาน ดอกไม้ธูปเทียน ไปทำบุญที่วัด
               วันส่งตายาย จะตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ซึ่งการทำบุญวันส่งตายายจึงมีความสำคัญพอกัน แต่ในวันส่งตายายจะจัดเตรียมอาหารคาวหวาน ต่าง ๆ เป็นพิเศษ พร้อมของใช้ในครัวเรือน เชื่อว่า จัดเตรียมให้ตายายนำกลับไปใช้พิธีกรรม
            มีการทำบุญตักบาตรตั้งแต่ตอนเช้า นำอาหารถวายพระ ใส่บาตร แล้ว ยังนำไปวางบนร้าน เรียกว่า ร้านเปรตซึ่งสร้างยกพื้นขึ้นมากลางลานวัด เพื่อให้ชาวบ้าน และเด็ก ๆ เข้าแย่งอาหารหรือชิงเปรตกัน
              ขนมตายายที่มักทำกันในเดือน ๑๐ ได้แก่ ขนมลา ขนมกรุบ ขนมจู้จุน ขนมบ้า ขนมไข่ปลา ยาหนม ขนมพอง ต้ม และผลไม้ต่าง ๆ แล้วแต่ละท้องที่หลังจากทำบุญตอนเช้าเสร็จแล้วก็จะมีการบังสกุลบรรพบุรุษ บางท้องที่จะทำตอนเย็นเป็นอันเสร็จพิธี
    * ความสำคัญ
                วันรับส่ง - ตายาย เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในครอบครัว ทั้งที่อยู่ใกล้และอยู่ไกล นอกจากนี้เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที ต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว


 -ประเพณีทำบุญทวดช้าง
         ประเพณีทำบุญพ่อทวดช้าง เป็นประเพณีที่กระทำกันทุกปี โดยพ่อทวดช้าง ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 2 ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา มีการสร้างศาลาเพื่อประดิษฐานจำลองพ่อทวดช้าง และควาญช้างไว้เพื่อเป็นที่เคารพสักการะบูชา พ่อทวดช้างมีอภิหารหลายอย่างปรากฏให้คนในหมู่บ้านเขารูปช้างพบเห็น คนในหมู่บ้านจึงมีความเชื่อและความศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของพ่อทวดช้างเป็นอย่างยิ่ง และมีการทำบุญประจำปีกันทุกปี โดยจะทำหลังจากทำบุญเดือน 5 (สงกรานต์) ที่วัดเกาะถ้ำเสร็จแล้ว ภายใน 1-7 วัน ชาวบ้านในพื้นที่หน้าทวดช้าง จะนัดแนะเพื่อร่วมทำบุญทวดช้าง และบุญเจดีย์ที่ตั้งอยู่หน้าทวดช้าง มักนิยมทำกันที่ใต้ต้นใหญ่ หรือเชิงเขาหน้าทวด เดิมจะทำกันที่บริเวณหน้าส่วนเจ้ากล้อง (หน้าสระน้ำมหาวิทยาลัยทักษิณ) แต่ภายหลังที่ดินถูกเวนคืน เพื่อสร้างเป็นมหาวิทยาลัยทักษิณ ในปี 2511 จึงกลับมาทำที่บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่บริเวณบ้านเลขที่ 71 หมู่ที่ 2 ซอยมิตรสัมพันธ์ (ปากทางเขารูปช้างเดิม)
                  พิธีการดั้งเดิม ผู้ที่อาศัยอยู่ในระแวกนั้น หรือผู้ที่ให้ความเคารพนับถือทวดช้างออกเรี่ยไรข้าวสารเงินทองมาทำขนมจีน เพื่อทำพิธีเลี้ยงพระในตอนเช้าและฉันเพล โดยนิมนต์พระสงฆ์ 7-9 รูปมาทำพิธี แต่ปัจจุบันนิยมนำข้าวหม้อแกงหม้อ มาร่วมทำบุญเลี้ยงพระในตอนพระฉันเพล ส่วนเจ้าภาพซึ่งรับเป็นเจ้าภาพในการทำบุญพ่อทวดช้างและบุญเจดีย์จะทำขนมจีน เนื่องจากขนมจีนจำเป็นต้องมีเพราะคนเฒ่าคนแก่ สั่งสอนไว้ว่า การเลี้ยงขนมจีนจะทำให้มีเส้นมีสายโยงใยกันแยกกันไม่ขาดเหมือนญาติมิตร หลังจากเสร็จพิธีทางสงฆ์ ก็จะร่วมรับประทานอาหารและทำพิธีรดน้ำคนเฒ่าคนแก่ แจกเสื้อผ้า คนเฒ่าคนแก่จะให้พรลูกหลานที่ไปร่วมงาน ไม่ว่าลูกหลานจะอยู่จังหวัดใด ส่วนใหญ่เมื่อถึงกำหนดทำบุญทวดช้าง บุญเจดีย์ ต่างก็จะกลับมาทำบุญดังกล่าว เพราะถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมือง เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของคนทั้งตำบล และของผู้คนทั่วๆ ไป ส่วนใหญ่แทบทุกปีจะมีหนังตะลุงเล่นในคืนก่อนวันทำบุญ ซึ่งบางครั้ง ก็จะจัดรับเทียมดาเสร็จแล้วมีหนังตะลุงแสดง รุ่งเช้าทำบุญทวดช้าง บุญเจดีย์ ซึ่งได้สืบทอดกันมา
               การที่ยึดเอาการทำบุญวัดเกาะถ้ำเป็นเกณฑ์ ก็เนื่องจากบรรพบุรุษส่วนใหญ่จะอยู่ที่นั้น หลังจากบังสุกุลกระดูกบรรพบุรุษแล้ว จึงมาทำบุญประเพณีตลอดมา
          ปัจจุบันประเพณีทำบุญพ่อทวดช้างจะจัดขึ้นทุกปี ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา โดยจะจัดขึ้นพร้อม ๆ กับ งานวัฒนธรรมสัมพันธ์ ประมาณเดือนสิงหาคม





ประเพณีท้องถิ่นภาคอีสาน


ประเพณีท้องถิ่นภาคอีสาน


     ประเพณีล้วนได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งแวดล้อมภายนอกที่เข้าสู่สังคมรับเอาแบบปฏิบัติที่หลากหลายเข้ามาผสมผสานในการดำเนินชีวิตประเพณีจึงเรียกได้ว่าเป็น วิถีแห่งการดำเนินชีวิตของสังคม โดยเฉพาะศาสนาซึ่งมีอิทธิพลต่อประเพณีไทยมากที่สุด วัดวาอารามต่างๆในประเทศไทยสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของพุทธศาสนาที่มีต่อสังคมไทยและชี้ให้เห็นว่าชาวไทยให้ความสำคัญในการบำรุงพุทธศาสนาด้วยศิลปกรรมที่งดงามเพื่อใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาตั้งแต่โบราณกาล เป็นต้น
      คำว่า ประเพณี ตามพจนานุกรมภาษาไทยฉบับบัณฑิตยสถาน ได้กำหนดความหมายประเพณีไว้ว่า ขนบธรรมเนียมแบบแผน ซึ่งสามารถแยกคำต่างๆ
ออกได้เป็น
           ขนบ มีความหมายว่า ระเบียบแบบอย่าง
           ธรรมเนียม มีความหมายว่า ที่นิยมใช้กันมา และเมื่อ
     นำมารวมกันแล้วก็มีความหมายว่า ความประพฤติที่คนส่วนใหญ่ ยึดถือเป็นแบบแผน และได้ทำการปฏิบัติสืบต่อกันมา จนเป็นต้นแบบที่จะให้คนรุ่นต่อๆไปได้ประพฤติปฏิบัติตามกันต่อไป


ชื่อประเพณี  ฮีตสิบสอง

จังหวัด กาฬสินธุ์
     ประเพณีท้องถิ่นกาฬสินธุ์ ยังยึดถือ และปฏิบัติตามฮีตสิบสอง คำว่า "ฮีต" หมายถึง จารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี แบบแผนฮีตที่ถือปฏิบัติกันอยู่ ๑๒ อย่าง ภาษาพื้นบ้านเรียกว่า "บุญ" ดังนี้
๑. บุญข้าวกรรม
 
     เกี่ยวกับพระภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสส ต้องอยู่กรรมจึงจะพ้นอาบัติ ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ในระหว่างภิกษุเข้ากรรม ญาติ โยม สาธุชน ผู้หวังบุญกุศล จะไปร่วมทำบุญบริจาคทาน รักษาศีลเจริญภาวนา และฟังธรรม เป็นการร่วมทำบุญระหว่างพระภิกษุ สามเณร และชาวบ้านกำหนดวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือนอ้าย"
๒. บุญคูนลาน
     การทำบุญคูนลาน จะทำที่วัด หรือที่บ้านก็ได้ โดยชาวบ้านจะเอาข้าวมารวมกัน แล้วนิมนต์พระภิกษุมาเจริญพระพุทธมนต์ จัดน้ำอบ น้ำหอมไว้ประพรม วนด้ายสายสิญจน์บริเวณรอบกองข้าว ตอนเช้ามีการถวายอาหารบิณฑบาต และนำเอาน้ำพระพุทธมนต์ไปรดกองข้าว ถ้าทำที่บ้านเรียกว่า "บุญกุ้มข้าว" กำหนดในเดือนยี่ เรียกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือนยี่
๓. บุญข้าวจี่
     เดือนสามชาวบ้านนิยมทำบุญข้าวจี่ เพื่อถวายพระ เป็นการละทานชนิดหนึ่ง และถือว่าได้รับอานิสงส์มากงานหนึ่ง กำหนดทำบุญในเดือนสาม
๔. บุญพระเวส
 
     บุญที่มีการเทศพระเวส หรือบุญมหาชาติ หนังสือมหาชาติเป็นหนังสือชาดกที่แสดงจริยวัตรของพระพุทธเจ้า เมื่อเสวยชาติเป็นพระเวสสันดร กำหนดทำบุญเดือนสี่ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือนสี่"
๕. บุญสรงน้ำ
     บุญสรงน้ำ มีการรดน้ำ หรือสรงน้ำพระพุทธรูป พระสงฆ์ และผู้หลักผู้ใหญ่ มีการทำบุญทำทาน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญตรุษสงกรานต์" กำหนดทำบุญในเดือน ห้า
๖. บุญบั้งไฟ
     ก่อนการทำนาชาวบ้านในจังหวัดในภาคอิสาน จะมีการฉลองอย่างสนุกสนาน โดยการจุดบั้งไฟ เพื่อไปบอกพญาแถน เชื่อว่าจะทำให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล มีการตกแต่งบั้งไฟให้สวยงามนำมาประกวดแห่ แข่งขันกันในวันรุ่งขึ้น กำหนดทำบุญในเดือน หก
๗. บุญซำฮะ
 
     ซำฮะ คือการชำระล้างสิ่งสกปรก รกรุงรังให้สะอาดหมดจด เมื่อถึงเดือน ๗ ชาวบ้านจะรวมกันทำบุญโดยยึดเอา "ผาม หรือศาลากลางบ้าน" เป็นสถานที่ทำบุญ ชาวบ้านจะเตรียมดอกไม้ธูปเทียน โอน้ำ ฝ้ายใน ไหมหลอด ฝ้ายผูกแขน แห่ทรายมารวมกันที่ ผามหรือศาลากลางบ้าน ตอนเย็นนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ ตอนเช้าถวายอาหาร เมื่อเสร็จพิธีทุกคนจะนำน้ำพระพุทธมนต์ ฝ้ายผูกแขน แห่ทรายของตนกลับบ้าน นำน้ำมนต์ไปรดลูกหลาน ทรายนำไปหว่านรอบบ้าน ฝ้ายผูกแขนนำไปผุกข้อมือลูกหลานเพื่อให้เกิดสวัสดิมงคลตลอดปี ถ้ามีการเจ็บไข้ได้ป่วยต้องมีการสวดถอด เป็นต้น กำหนด ทำบุญในเดือน ๗
๘. บุญเข้าพรรษา
     ในเทศกาลเข้าพรรษา เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์จะต้องบำเพ็ญไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้บริบูรณ์ ส่วนคฤหัสถ์ก็จะต้องบำเพ็ญบุญกริยาวัตถุ ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา ให้เต็มเปี่ยม ตอนเช้าญาติโยมจะนำอาหารมาถวายพระภิกษุ ตอนบ่ายนำดอกไม้ธูปเทียน ข้าวสาร ผ้าอาบน้ำฝน รวมกันที่ศาลาวัด ตอนเย็นญาติโยมพากันทำวัตรเย็นแล้วฟังเทศน์ กำหนด วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือน ๘"
๙. บุญข้าวประดับดิน
 
     ห่ออาหาร และของขบเคี้ยวเป็นห่อๆ แล้วนำไปถวายวางแบไว้กับดิน จึงเรียกว่า "บุญข้าวประดับดิน" ชาวบ้านจะจัดอาหารคาว หวาน และหมากพลู บุหรี่ กะว่าให้ได้ ๔ ส่วน
     ส่วนที่ ๑ เลี้ยงดูกันในครอบครัว
     ส่วนที่ ๒ แจกให้ญาติพี่น้อง
     ส่วนที่ ๓ อุทิศไปให้ญาติที่ตาย
     ส่วนที่ ๔ นำไปถวายพระสงฆ์
     ทำเป็นห่อๆให้ได้พอควร โดยนำใบตองกล้วย มาห่อของคาว หวาน หมากพลู บุหรี่ แล้วเย็บรวมกันเป็นห่อใหญ่ ในระหว่าง เช้ามืดในวันรุ่งขึ้นจะนำห่อเหล่านี้ไปวางไว้บริเวณวัด ด้วยถือว่าญาติพี่น้องจะมารับของที่นั่น (เชื่อกันว่าเป็นวันยมทูตเปิดนรกชั่วคราว ให้สัตว์นรก มารับของทานในระยะหนึ่ง และยังถือว่าเป็นวันกตัญญูอีกด้วย) ตอนเช้านำอาหารอีกส่วนหนึ่งไปถวายพระ ฟังพระธรรมเทศนา เสร็จแล้วทำพิธีอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว กำหนดทำบุญในเดือน ๙
๑๐. บุญข้าวสาก
     การเขียนชื่อลงในพาข้าว (สำรับกับข้าว) เรียกว่าข้าวสาก (สลาก) ญาติโยมจะจัดอาหารเป็นห่อๆ แล้วนำไปแขวนไว้ตามต้นไม้ โดยทำกันในตอนกลางวัน ก่อนเพล เป็นอาหาร คาว หวาน พอถึงเวลา ๔ โมงเช้า พระสงฆ์จะตีกลองโฮม (รวม) ญาติโยมจะนำพาข้าว (สำรับกับข้าว) ของตนมารวมกัน ณ ศาลาการเปรียญ เจ้าภาพจะเขียนชื่อลงในกระดาษม้วนลงในบาตร เมื่อพร้อมแล้วหัวหน้ากล่าวนำคำถวายสลากภัต จบแล้วยกบาตรสลากไปให้พระจับ ถูกชื่อใคร ก็ให้ไปถวายพระองค์นั้น ก่อนจะถวายพาข้าวให้นำพาข้าว ๑ พา มาวางหน้าพระเถระ แล้วให้พระเถระ กล่าวคำอุปโลกน์ กำหนด บุญข้าวสากนิยมทำกันในเดือน ๑๐
๑๑. บุญออกพรรษา
     การทำบุญออกพรรษานี้ เป็นการเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ได้มีโอกาสว่ากล่าวตักเตือนกันได้ พระภิกษุสงฆ์สามารถเดินทางไปอบรมศีลธรรม หรือไปเยี่ยม ถามข่าวคราว ญาติพี่น้องได้ และภิกษุสงฆ์สามารถหาผ้ามาผลัดเปลี่ยนได้ เมื่อถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ตั้งแต่เช้ามืดจะมีการตีระฆังให้พระสงฆ์ไปรวมกันที่โบสถ์แสดงอาบัติเช้า จบแล้วมีการปวารณา คือเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ด้วยกันว่ากล่าวตักเตือนกันได้ กำหนด บุญออกพรรษาในเดือน ๑๑
๑๒. บุญกฐิน
     ผ้าที่ใช้สดึงทำเป็นกรอบขึงเย็บจีวร เรียกว่าผ้ากฐิน ผู้ใดศรัทธา ปรารถนาจะถวายผ้ากฐิน ณ วัดใดวัดหนึ่งให้เขียนสลาก (ใบจอง) ไปติดไว้ที่ผนังโบสถ์ หรือศาลาวัด ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ผู้อื่นจองทับ เมื่อถึงวันกำหนดก็บอกญาติโยมให้มาร่วมทำบุญ มีมหรสพสมโภช และฟังเทศน์ รุ่งเช้าก็นำผ้ากฐินไปทอดถวายที่วัดเป็นอันเสร็จพิธี กำหนด ทำบุญระหว่างวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒

ตำนาน ดอกทิวลิป (Tulip)


ตำนาน ดอกทิวลิป (Tulip)



ทิวลิป (Tulip) เป็นชื่อสามัญของพันธุ์ไม้หัว ที่ออกดอกในฤดูใบไม้ผลิ ถ้าเราจะกล่าวกันถึง ต้นหรือดอก “ทิวลิป”
ก็ จะเหมือนๆ กับการพูดถึง “กล้วยไม้” หรือ “กุหลาบ” อย่างนั้นเอง เพราะชื่อของทิวลิป กล้วยไม้ และกุหลาบ เป็นคำสามัญนามที่ไม่ได้มีจัดแยกประเภทกันว่า เป็นต้นไม้หรือดอกไม้อย่างไหน พันธุ์ไหน หรือชนิดไหน
พันธุ์พืชแต่ละอย่าง หรือแต่ละนามนี้ ต่างก็มีสายพันธุ์ต่างๆ ที่แตกแขนงออกไปเป็นพันธุ์ (Species) เป็นชนิด (Variety) มีมากมายเหลือเกิน

ในปัจจุบันนี้ เชื่อกันว่า ได้มีนักผสมพันธุ์ทิวลิปต่างๆ ทำให้มีทิวลิปเกิดขึ้นในโลกมากกว่า 1,000 ชนิด แต่อย่างไรก็ตาม
ใน อดีตนั้น นักพฤกษาวิทยาได้เคยมีรายงานบันทึกไว้ว่า ทิวลิปพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งเป็นของดั้งเดิมของโลกเก่าจริงๆ นั้น มีกระจายพันธุ์ขึ้นอยู่ในแถบถิ่นต่างๆ ของโลกราว 100 พันธุ์ หรือ 100 สปีชี่ ส่วนทิวลิปที่โด่งดังของโลก ซึ่งมีนักปลูกดอกไม,้ ต้นไม้ นิยมปลูกกันอย่างกว้างขวางในโลก มากกว่าทิวลิปพันธุ์อื่นๆ คือ ทิวลิปพันธุ์ที่พระอาจารย์ลินเนียส ได้ตั้งชื่อไว้ให้ ในปีพ.ศ. 2280
ว่า ทิวลิปา กีสนีเรียนา (Tulipa gesneriana) ซึ่งเป็นทิวลิปที่เป็นที่นิยมมากที่สุด มาตั้งแต่ในสมัยกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 มาจนถึงในปัจจุบัน ทิวลิปพันธุ์ที่ว่านี้ เป็นพืชพื้นเมือง มีทำเลถิ่นเกิดอยู่ในประเทศตุรกี และในละแวกเอเชียไมเนอร์บางท้องที่ แต่ต่อมาภายหลัง ก็เกิดมีการกระจายพันธุ์เข้าไปเป็นพืชพื้นเมืองอยู่ในยุโรปตอนใต้อีกหลาย ท้องที่
บุคคลแรกที่นำทิวลิปสู่ยุโรปคือ “บุสเบค” ราชทูตอาณาจักรโรมันในราชสำนักตุรกี ในช่วงปี ค.ศ. 1572
ทำให้ผู้คนรุ่นหลังๆ เกิดไขว้เขว คิดว่าทิวลิปพันธุ์นี้เป็นต้นไม้พื้นเมืองของทวีปยุโรป
ทิวลิป พันธุ์กีสนีเรียนาเป็นพืชของโลกเก่า ที่นักพฤกษาวิทยาพบเป็นครั้งแรกจากประเทศตุรกี และชาวตุรกีก็เป็นหมู่ชน กลุ่มแรกที่รู้จักนำต้นทิวลิปพันธุ์นี้จากทุ่งนาป่าเขา นำเข้าไปปลูกดูเล่นในสวนดอกไม้ ตั้งแต่ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 และทิวลิปถูกนำเข้าสู่ยุโรปตะวันตก จากกรุงคอนสแตนติโนเปิล และเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะที่ประเทศฮอลแลนด์

ในประเทศเปอร์เซียนั้น นักพฤกษาวิทยาได้เคยพบต้นทิวลิปป่าขึ้นอยู่มาก และในละแวกใกล้ๆ กับเมืองคาบูลในอัฟกานิสถาน ก็พบว่ามีต้นทิวลิปต่างๆ ขึ้นอยู่ในพื้นที่มากมายถึง 33 พันธุ์ ด้วยเหตุนี้ชาวเปอร์เซียนจึงมีเรื่องตำนานอันเก่าแก่ ที่เกี่ยวข้องอยู่กับเรื่องของทิวลิปมากกว่าชนชาติใดๆ ในโลก

ดาวเรือง


ดาวรวย ดาวเรือง ข้อมูลพื้นฐานของดอกดาวเรือง
ดาวเรือง เป็นไม้ดอกที่คนไทยนิยมปลูกกันมาก
เนื่องจากเมล็ดมีขนาดใหญปลูกง่าย
 
      ดาวเรือง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Tagetes erecta L.; ชื่อสามัญ: Marigold) คำปู้จู้ คำปู้จู้หลวง (พายัพ) บ่วงสิ่วเก็ก เฉาหู้ยัง กิมเก็ก (จีน)ดาวเรืองนิยมปลูกตัดดอก เป็นดาวเรืองในกลุ่ม African หรือ American marigold เป็นพันธุ์ดอกใหญ่ พันธุ์ที่ใช้เป็นการค้าในประเทศไทยได้แก่พันธุ์ซอเวอร์เรน (soverign) นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ใหม่ๆที่นำเข้ามาได้แก่ พันธุ์จาไมก้า (jamaica) และอื่นๆ อีกหลายพันธุ์
 
      ดาวเรือง เป็นไม้ดอกที่คนไทยนิยมปลูกกันมาก เนื่องจากเมล็ดมีขนาดใหญ่ปลูกง่าย งอกเร็ว ต้นโตเร็ว และแข็งแรงไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน ให้ดอกเร็ว ดอกดก มีหลายชนิและหลายสี รูปทรงของดอกสวยงาม สีสันสดใส บานทนนานหลายวัน สามารถปักแจกันได้นาน 1-2 สัปดาห์ ให้ดอกในระยะเวลาสั้น คือ ประมาณ 60-70 วัน หลังปลูก ดังนั้นในการปลูกดาวเรืองสามารถกำหนดระยะเวลาการออกดอกให้ตรงกับเทศกาลสำคัญได้จึงมีผู้นิยมปลูก และใช้ดาวเรืองกันมาก นอกจากนี้ยังสามารถปลูกได้ตลอดปี และปลูกได้ทุกจังหวัดในประเทศไทย ดาวเรืองเป็นไม้ดอกที่ทำรายได้ให้กับผู้ปลูกสูง ในปัจจุบันการปลูกดาวเรืองนอกจากปลูกเพื่อตัดดอกขายแล้ว ยังนิยมปลูกในกระถางหรือถุงพลาสติก เพื่อประดับตกแต่งอาคารสถานที่ และปลูกเพื่อตัดดอกส่งโรงงานอาหารสัตว์อีกด้วย
 
     การปลูกดาวเรืองในประเทศไทย เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ทราบเพียงว่าดาวเรืองไม่ได้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย แต่มีการนำเข้าพันธุ์ดาวเรืองจากต่างประเทศมาปลูกเป็นเวลานานจนสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในประเทศไทยได้ดี มีการกระจายตัวขอสายพันธุ์มากทั้งทางด้านรูปทรงดอก ขนาดดอก ลักษณะการเจริญเติบโต ตลอดจนการต้านทานต่อโรคและแมลง ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกดาวเรืองประมาณ 4,000 ไร่ มีแหล่งปลูกทีสำคัญ คือ จังหวัดพะเยา ลำปาง นนทบุรี กรุงเทพฯ ราชบุรี สมุทรสาคร สุพรรณบุรี และอุดรธานี 
 
ดาวรวย ดาวเรือง ข้อมูลพื้นฐานของดอกดาวเรือง 
ดอกดาวเรืองชนิดต่างๆ

ชนิดของดาวเรือง


   ดาวเรืองที่ปลูกกันอยู่โดยทั่วไปแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

   1. ดาวเรืองอเมริกัน (American Marigolds) เป็นดาวเรืองที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปอเมริกา ลำต้นสูงตั้งแต่ 10-40 นิ้ว ดอกสีเหลือง ส้ม ทอง และขาว กลีบ ดอกซ้อนกันแน่น ดอกมีขนาดใหญ่ประมาณ 3-4 นิ้ว ดาวเรืองชนิดนี้มีหลายพันธุ์ ได้แก่

      พันธุ์เตี้ย สูงประมาณ 10-14 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์ ปาปาย่า (papaya) ไพน์แอปเปิล (pineaple) ปัมพ์กิน (Pumpkin) เป็นต้น

      พันธุ์สูงปานกลาง สูงประมาณ 14-16 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์อะพอลโล (Apollo) ไวกิ่ง (Ziking) มูนช๊อต (Moonshot) เป็นต้น

      พันธุ์สูง สูงประมาณ 16-36 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์ดับเบิล อีเกิล (Double Egle) ดับบลูน (Doubloon) ซอฟเวอร์เรน (Sovereign) เป็นต้น

   2. ดาวเรืองฝรั่งเศส (French Marigolds) ดาวเรืองฝรั่งเศสเป็นดาวเรืองต้นเล็ก ต้เป็นพุ่มเตี้ย ๆ สูงประมาณ 6-12 นิ้ว ดอกสีเหลือง ส้ม ทอง น้ำตาลอมแดง และสีแดง ดอกมีขนาดเล็กประมาณ 1.5 นิ้ว นิยมปลูกประดับในแปลงมากกว่าปลูกเพื่อตัดดอก เนื่องจากมีก้านดอกสั้น นอกจากนี้ยังเป็นดาวเรืองที่สามารถลดปริมาณไส้เดือนฝอยที่ทำให้เกิดอาการรากปมในรากพืชได้ ตัวอย่างดาวเรืองฝรั่งเศส ได้แก่

    พันธุ์ดอกชั้นเดียว ดอกมีขนาด 1.5-2 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์เรด มาเรตต้า (Red Marietta) นอธตี้ มาเรตต้า (Naughty Marietta) เอสปานา (Espana) ลีโอปาร์ด (Leopard) เป็นต้น

    พันธุ์ดอกซ้อน ดอกมีขนาดตั้งแต่ 1.5-3 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์ควีน โซเฟีย (Queen Sophia ) สการ์เลต โซเฟีย (Scarlet Sophia) โกลเด้น เกต (Golden Gate ) เป็นต้น
   3. ดาวเรืองพันธุ์ลูกผสม (Mule Mariglds หรือ Afro American Marigolds) เป็นดาวเรืองลูกผสมระหว่างดาวเรืองอเมริกันและดาวเรืองฝรั่งเศส โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำลักษณะความแข็งแรง ดอกใหญ่ และมีกลีบซ้อนมากของดาวเรืองอเมริกัน รวมเข้ากับลักษณะต้นเตี้ยทรงพุ่มกะทัดรัดของดาวเรืองฝรั่งเศส ดาวเรืองลกผสมให้ดอกเร็วมาก คือเพียง 5 สัปดาห์หลังจากเพาะเมล็ดดอกมีขนาด 2-3 นิ้ว ดอกดกและอยู่กับต้นได้ดี ดาวเรืองชนิดนี้มีข้อเสียก็คือเมล็ดจะลีบ ไม่สามารถนำมาเพาะให้เป้นต้นใหม่ได้จึงเรียกว่า ดาวเรืองล่อ เช่นเดียวกับการผสมม้ากับลา มีลูกออกมาเรียกว่า ล่อ ซึ่งเป็นหมัน จึงทำให้เมล็ดมีราคาแพงมาก และการปลูกดาวเรืองด้วยเมล็ดชนิดนี้ จึงควรใช้เมล็ดเป็นปริมาณ 2 เท่าของจำนวนที่ต้องการ เนื่องจากเมล็ดมีเปอร์เซ็นต์ความงอกต่ำ

    ดาวเรืองลูกผสมที่นิยมปลูกมีอยู่หลายพันธุ์ คือ พันธุ์นักเก็ต (Nugget) ไฟร์เวิร์ก (Fireworks) เรด เซเว่น สตาร์ (Red Sevenstar) และโชว์โบ๊ต (Showboat)
 

การขยายพันธุ์ดาวเรือง


       ทำได้โดยการใช้เมล็ดและการปักชำ แต่วิธีที่นิยมทำคือ การใช้เมล็ด เพราะได้จำนวนมากกว่า โดยนำเมล็ดดาวเรืองมาเพาะในกระบะเพาะ ซึ่งมีวัสดุเพาะ คือ ขุยมะพร้าว ทราย  ขี้เถ้าแกลบ ปุ๋ยคอก ในอัตราส่วน 1:1:1:1 หรือแปลงเพาะที่มีดินร่วนซุยค่อนข้างละเอียด คราดดินให้ผิวดินเรียบสม่ำเสมอ ทำร่องบนกระบะเพาะหรือแปลงเพาะให้ลึกประมาณ 0.5 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร แต่ละร่องห่างกัน 5 เซนติเมตร หยอดเมล็ดลงร่องห่างกัน 1-2 นิ้ว แล้วกลบแต่ละร่องด้วยวัสดุเพาะ หรือดินละเอียดเพียงบางๆ รดน้ำด้วยฝักบัวฝอยให้ชุ่ม แล้วคลุมกระบะเพาะด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ หรือคลุมแปลงเพาะด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง  ควรรดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เพื่อรักษาความชื้น เมล็ดดาวเรืองจะงอกภายใน 3-5 วัน เป็นต้นกล้า
 
ดาวเรือง
ทุ่งดอกดาวเรือง

การปลูกดาวเรือง


    1.    ไถเตรียมดิน หว่านปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไป ประมาณ 1 ตัน/ไร่ ยกร่องแปลงปลูกกว้าง 1 เมตร รดน้ำแปลงไว้ล่วงหน้า 1 วัน

    2.    ขุดหลุมกว้าง 15 เซนติเมตร แปลงละ 3 แถว ระยะระหว่างแถว 30 เซนติเมตร ระยะระหว่างต้น 30 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยทริบเบิ้ลซุปเปอร์ฟอสเฟส หรือสูตร 15-15-15 ประมาณ 1    ช้อนชา รองก้นหลุม แล้วเกลี่ยดินข้างหลุมมากลบปุ๋ยเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้รากดาวเรืองสัมผัสปุ๋ยโดยตรง

    3.    นำต้นกล้าที่มีอายุ 7-10 วัน ( นับจากวันเพาะเมล็ด ) โดยแยกต้นกล้าให้มีวัสดุเพาะ หรือดินหุ้มติดรากมาด้วย เพื่อป้องกันรากกระทบกระเทือน นำมาปลูกในแต่ละหลุมที่เตรียมไว้ รดน้ำให้ชุ่ม

    4.    หลังจากนั้น ต้องรดน้ำเช้า-เย็น ประมาณ 7 วัน ซึ่งต้นกล้า จะตั้งตัวได้ดี แล้วจึงรดน้ำเพียงวันละ 1 ครั้ง ในตอนเช้า ในช่วงที่ดอกดาวเรืองเริ่มบานไม่ควรรดน้ำให้โดนดอก เพื่อป้องกันดอกเป็นโรค

    5.    เมื่อดาวเรืองอายุ 15 และ 25 วัน ควรใส่ปุ๋ย 15-15-15 ในอัตรา 1 ช้อน : ต้น เมื่ออายุ 35 และ 45 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 ในอัตราเดียวกัน  โดยวิธีฝังลงในดินตื้นๆ ประมาณ ?  นิ้ว ห่างโคนต้น 6 นิ้ว แล้วรดน้ำให้ชุ่มทุกครั้งที่ใส่ปุ๋ย

    6.    ช่วงดาวเรืองอายุ 21-25 วัน ซึ่งเป็นระยะที่ต้นมีใบจริงขนาดใหญ่ ประมาณ 4 คู่ และส่วนยอดมีใบเล็กๆ 1-2 คู่ จะต้องปลิดยอดทิ้งเพื่อให้แตกกิ่งข้าง โดยใช้มือซ้ายจับคู่ใบบนสุดที่จะเหลือไว้ แล้วใช้มือขวาดึงส่วนยอดลงทางด้านข้างจนหลุดออกมา หลังจากนั้น 5-7 วันตาข้างจะเริ่มแตกและเจริญเป็นกิ่งใหม่ ซึ่งจะติดตุ่มดอกทั้งที่ตายอดปลายกิ่งและตาข้าง

    7.    หลังจากปลูก 40-45 วันในแต่ละกิ่ง เมื่อดอกยอดมีขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพดดอกข้างมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ต้องรีบปลิดดอกข้างออกให้หมดภายใน 2-3 วัน คงเหลือดอกยอดไว้ดอกเดียว  เพื่อให้ดอกมีขนาดใหญ่

    8.    หลังจากนั้นประมาณ 20 วัน ( อายุ 60-65 วัน ) ก็ตัดดอกไปจำหน่ายได้ ซึ่งจะได้ประมาณ 10-12 ดอก/ต้น
 

โรคและแมลงที่สำคัญต่อดาวเรือง


   1. โรคเหี่ยว เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อราไฟทอปทอรา (Phytoptora) มักเกิดกับดาวเรืองที่ดอกกำลังเริ่มทยอยบาน ระยะแรกมีอาการคล้ายกับดาวเรืองขาดน้ำ กล่าวคือ อาการเหี่ยวจะแสดงในตอนกลางวันส่วนกลางคืนอาการจะปกติ หลังจากนั้นประมาณ 3 -4 วัน ดาวเรืองก็จะเหี่ยวทั้งด้นและตายไปในที่สุด
    การป้องกันกำจัด ใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดเชื้อรา เช่น แมนโคเซ็ป ฉีดพ่นสลับกับคาร์เบนดาซิมประมาณสัปดาห์ละครั้ง และถ้าพบมากต้นที่เป็นโรคและตายในแปลงต้องรีบกำจัดทิ้ง

   2. โรคราแป้ง เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่งลักษณะอาการ คือจะเห็นสปอร์ของเชื้อราเป็นฝุ่นสีขาว ๆ ตามใบของดาวเรือง ทำให้ใบหยิก การเจริญเติบโตชะงัก ถ้าเป็นมากอาจทำให้ต้นตายในที่สุด
    การป้องกันกำจัด โดยการพ่นด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น แมนโคเซ็ป ไดแทน-เอ็ม 45 ประมาณสัปดาห์ละครั้ง

   3. โรคดอกไหม้ เกิดเชื้อราเข้าทำลายดอกดาวเรือง ทำให้ดอกเป็นสีน้ำตาลจนไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้
    การป้องกันกำจัด ควรฉีดพ่นด้วยสารเคมีแมนโคเซ็ปหรือดาโคนิล โดยฉีดพ่นให้ทั่วทั้งแปลง

   4.  เพลี้ยไฟ เข้าทำลายโดยดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอดอ่อนและใบอ่อน จะเห็นมีรอยขีดตามใบหรือกลีบเลี้ยงของดอก เพลี้ยไฟจะระบาดมากในช่างฤดูร้อน
    การป้องกันกำจัด ใช้สารเทมมิค เอ จี (Temic A.G.) ฝังรอบ ๆ โคนต้น โดยฝังให้ห่างโคนต้นประมาณ 1 ฝ่ามือ หรือฉีดพ่นด้วยสารโตกุไธออนสัปดาห์ละครั้ง

   5.  หนอนกระทู้หอม เป็นหนอนของผีเสื้อกลางคืน จะเข้าทำลายในขณะที่ดอกดาวเรืองเริ่มบานหนอนจะกัดกินดอกดาวเรือง ทำให้ดอกแหว่งเสียหาย
    การป้องกันกำจัด ฉีดพ่นด้วยสารเคมีกำจัดแมลง เช่น แลนเนท, แคสเคต หรือใช้เชื้อไวรัสทำลายแมลงพวกเอ็น.พี.วี (NPV) ฉีดพ่นในแปลงที่มีหนอนกระทู้หอมระบาด